หลวงปู่สมชาย
ฐิตวิริโย ประธานสงฆ์วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี |
เรื่อง : เทศน์ฉลองศรัทธาชาวเกาะขวางและเกาะทราย |
ณ
โอกาสนี้เป็นโอกาสที่พวกเราท่านทั้งหลายจะได้ฟังคำแนะนำสักเล็กน้อยตามกาลเวลา
วันนี้บรรดาคณะศรัทธาสามัคคีชาวเกาะขวาง เกาะทรายได้มีปสันนาการจิตเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนาได้พากันจัดผ้าป่า
เพื่อจะนำมาทอด ณ สถานที่นี้ พวกเราทุกท่านได้มีศรัทธาความเชื่อ อันยิ่งในบวรพุทธศาสนาคือว่า
ความเชื่อที่พวกเรามันเกิดขึ้นในจิตสันดานนั้น พวกเราเชื่อว่าการทำความดีของพวกเราท่านทั้งหลาย
และพวกเราท่านทั้งหลายเชื่อว่าบุคคลผู้ทำความชั่วทั้งหลายนั้นย่อมจะได้รับบาปทั้งหลาย
ความเดือดร้อนทั้งหลาย ซึ่งเป็นเศษของบาปคือ การกระทำของพวกเรานั้นจะต้องเป็นสิ่งตามบั่นรอนพวกเราท่านทั้งหลาย
ความเชื่อของพวกเรามีอยู่อย่างนี้ พวกเราท่านทั้งหลายจึงด้พากันกล้าเสียสละจตุปัจจัยตามแต่ศรัทธาของพวกเราท่านทั้งหลาย
เมื่อพวกเราท่านทั้งหลายได้พร้อมเพรียงกันเสียสละจตุปัจจัย และนำมาทอด
และถวายในสถานที่นี้ก็นับว่าพวกเราท่านทั้งหลายมีศรัทธานี้เป็นเพื่อนสอนนำพวกท่านทั้งหลายมา
ศรัทธานี้เป็นกำลังดีย่อมสามารถจะย่ำยี มัจฉริยะธรรมคือ ความขี้ตระหนี่
ซึ่งมีอยู่ในส่วนลึกของจิตสันดานนั้น ข่มหรือกดเอาไว้ พวกเราจึงสามารถเสียสละมาทำบุญให้ทานบริจาคได้และพวกเรายังกล้ายอมเสียสละกิจการที่พวกเราประกอบอาชีพในทางฆราวาสสมบัติอุตส่าห์พยายามมาสู่สถานที่นี้
การขึ้นมาสู่สถานที่นี้มีการไหว้พระและรับศีล กล่าวคำถวายทานเสร็จเรียบร้อยแล้ว
พวกเราทุกท่านยังอยากจะฟังพระธรรมเทศนา เพื่อจะได้จดจำไปประพฤติปฏิบัติต่อไป
อันนี้นับว่าพวกเราท่านทั้งหลายหาทางเพิ่มพูนซึ่งการกุศล ซึ่งให้เกิดมีในพวกเราท่านทั้งหลาย
พูดถึงเรื่องบุญกุศลที่พวกเราท่านทั้งหลายพยายามอันนี้พวกเราก็คงจะเข้าใจ
คำที่ว่าบุญนี้หมายถึงความสุข หรือหมายถึงความปลื้มใจ คำที่ว่าความสุขหรือความปลื้มใจนี้
พวกเราท่านทั้งหลายคงจะมองเห็นตัวอย่างวันนี้ พวกเราท่านทั้งหลายได้ทำบุญลงไปแล้ว
เมื่อพวกเรานึกถึงกองการกุศลของพวกเรานี้ พวกเราจะมีความสุข ความปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง
ความปลื้มใจนี้แหละท่านเรียกว่าบุญ เมื่อหากมีความปลื้มใจเป็นกำลังที่หนึ่งแล้ว
มันสามารถจะให้พวกเราท่านทั้งหลายมีความสุขอันความสุขนี้ท่านก็เรียกว่าบุญ
เพราะเหตุนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์จึงเทศนาดังอาตมาได้ยกมาพูดสุภาษิตลิขิตเบื้องต้นนี้ว่า
สุโขปุญญัสสะ อุจจะโย แปลว่า บุคคลผู้สะสมซึ่งบุญนำมาซึ่งความสุข เพราะเหตุนั้นพวกเราท่านทั้งหลายผู้มีศรัทธาได้พากันยอมเสียสละจตุปัจจัยของพวกเราตามมีตามเกิดนี้
พวกเราก็คงจะมองเห็นด้วยอาการอย่างนี้ ทีนี้พวกเราท่านทั้งหลายจึงได้พากันอุตส่าห์พยายามยอมเสียสละบุกบั่นจนพวกเราทั้งหลายได้ทำพิธีวันนี้สำเร็จลงไปได้
เมื่อพวกเราท่านทั้งหลายต้องการอยากจะได้อานิสงส์ผลอันนี้ปรากฏเพิ่มพูนขึ้นเป็นลำดับนั้น
พวกเราต้องรักษาเจตนาทั้ง ๓ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์เจตนาทั้ง ๓ นั้นคือปุพพะเจตนา
ที่พวกเราเหล่าท่านทั้งหลายจะเอาวัตถุสิ่งของที่พวกเราทุกท่านหามาได้โดยยากออกจากบริจาคมันจะมีมัจฉริยะธรรมเข้ามาครอบงำไม่ให้กล้าทำบุญให้ทานลงไปได้
พวกเราจงพากันย่ำยีมัจฉริยะธรรมคือ ความขี้ตระหนี่นั้นอย่าให้ปรากฏขึ้นมาได้ด้วยอาศัยกำลังของศรัทธาคือความเชื่อนี้
เมื่อพวกเราย่ำยีมัจฉริยะธรรมลงไปได้ก็เหลือแต่ตัวศรัทธาคือความเชื่อ ความเชื่อมั่นเบื้องต้นอย่างนี้
ท่านเรียกว่าผู้ถึงซึ่งบุพพะเจตนา เมื่อพวกเราได้บุพพะเจตนาแล้วก็ให้รักษาบุญจนะเจตนา
บุญจเจตนาอย่างปัจจุบันเดี๋ยวนี้ พวกเราท่านทั้งหลายได้ทางวัตถุทานต่อหน้าพวกเราท่านทั้งหลายแล้ว
พวกเราท่านทั้งหลายก็ให้ความปลื้มใจในวัตถุทานของพวกเราให้นึกว่าสมบัติที่พวกเราทำลงมานี้ไม่ใช่ทำให้ใครเป็นส่วนที่พวกเราท่านทั้งหลายจะได้รับเป็นสิ่งที่เป็นอนุคามินีติตามพวกเรา
ท่านทั้งหลายต่อไป ๆ ไปให้ได้รับความสุข ความเจริญ ความแน่ใจของพวกเราให้ยินดีอยู่อย่างนี้เสมอนี่
เรียกว่าพวกเรารักษาไว้ซึ่งบุญจนะเจตนาอาปราประเจตนา เมื่อพวกเราจากสถานที่นี้ไปพวกเรานึกถึงกองบุญกองการกุศลที่พวกเราได้ทำนี้ก่อให้มีความปลื้มใจอยู่เสมอ
เมื่อพวกเรามีความปลื้มใจในกองการกุศลอันนี้อยู่เสมอก็เรียกว่าพวกเราถึงซึ่งอาปราประเจตนา
เมื่อพวกเรามีเจตนาทั้ง ๓ นี้บริบูรณ์สมบูรณ์แล้วส่วนอานิสังฆ์ผลนั้นย่อมจะปรากฏเพิ่มพูนในพวกเราอยู่เสมอ
นี่แหละพูดถึงเรื่องบุญกุศลดังพรรณนามานี้ ทีนี้พูดถึงเรื่องบุญกุศลที่พวกเราทุกท่านได้พากันพยายามกระทำนี้ทุกคน
ๆ ต้องการอยากจะได้บุญกุศล แต่บางผู้บางคนก็ไม่เข้าใจว่าบุญนี้มันมีเช่นไร
อย่างไรมันให้ผลอย่างไร อะไรเหล่านี้ ไม่ค่อยจะเข้าใจ แต่แท้ที่จริงบุญกุศลอย่างที่พวกเราท่านทั้งหลายอบรมนี้
ย่อมจะให้ประโยชน์นี้แก่พวกเราหลายอย่างคิดดูอย่างพวกเราที่เกิดมาเป็นมนุษย์นี้
พวกเราก็ต้องอาศัยกองการกุศลที่พวกเราอบรมมาแล้ว ตั้งแต่ปุเรกชาติ เมื่อพวกเราไม่มีบุญกุศลแล้วจะเกิดมาเป็นมนุษย์ได้อย่างไร
เรามองดูภพชาติที่พวกเราจะต้องไปเกิดมันมีหลายภพหลายชาติ มันมีหลายประเภทของสัตว์ในโลก
เมื่อหากพวกเราไม่มีบุญกุศลแล้วพวกเราจะไม่มีทางใดที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้
อันนี้ก็แสดงให้เห็นว่าบุญกุศลอย่างที่พวกเรากระทำนี้ย่อมจะเป็นไปอย่างนี้เหมือนกัน
หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง อย่างพวกเราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้มาเจอพระพุทธศาสนา
คือคำสอนของพระพุทธเจ้านี้ ปรากฏอยู่เป็นเหตุที่จะให้พวกเราได้ประพฤติปฏิบัติตามศาสโนวาท
คำสอนของพระพุทธเจ้าตามความสามารถขอพวกเรานี้มันก็เป็นบุญลาภอันประเสริฐของพวกเรา
เมื่อพวกเราไม่ได้ทำความดีมาแล้วที่ไหนได้เราจะได้เกิดมาเจอพระพุทธศาสนาธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า
ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้านี้ ถ้าจะเปรียบอย่างหนึ่งเหมือนกันกับดวงประทีปเป็นของสามารถจะกำจัดมือออกไปได้
เพราะอาศัยรัศมีเป็นเครื่องตะเพิดความมืดออกไป บุคคลผู้มีดวงประทีปอยู่ในมือ
หรืออยู่ใกล้ดวงประทีปย่อมสามารถจะส่องทางในที่มืดเดินไปได้สบาย ภัยอันตรายที่อยู่รอบด้านย่อมจะมองเห็นได้
และจะหลีกหนีภัยอันตรายได้โดยง่ายฉันใดก็ดี บุคคลผู้ได้ฟังธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ย่อมสามารถจะดำเนินวิถีชีวิตเป็นไปด้วยความราบรื่น
เป็นบุคคลที่ไม่ขาดทุนในชีวิตคือได้เจอธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องประดับตัวแล้วหาทางประพฤติปฏิบัติหลีกหนีจากภัยอันตราย
คำที่ว่าภัยอันตรายได้แก่ อกุศลกรรม ซึ่งเป็นเครื่องมือจะทำให้พวกเราอับเฉาในชาติปัจจุบันและย่อมจะเป็นสิ่งติดตามพวกเราท่านหลายให้ได้รับความทุกข์
ความเดือดร้อน ร้อนตัว ๆ ไป เพราะเหตุนั้นพวกเราได้เกิดมาพบปะธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ทำให้เราดำเนินวิถีชีวิตไปด้วยความสว่างไสว อันนี้พวกเราก็มองเห็นได้ว่าบุญอานิสงส์คือ
บุญกุศลที่ประกอบไว้นี้ย่อมเป็นสิ่งอนุคามินีติดตามอุปถัมภ์บุคคลผู้เป็นเจ้าของให้ได้รับความสุข
ความเจริญ หรือพวกเราจะมองเห็นมีฐานะต่าง ๆ กันไม่สม่ำเสมอก็เนื่องจากว่า
การทำความดีไม่สม่ำเสมอกันบางท่านได้ทำคุณงามความดีเอาไว้มากมาย ความดีในปัจจุบันเช่นนี้
พวกเราก็มองเห็นว่าเขาได้รับความสุข ความเจริญสูงยิ่ง หรือบางผู้บางคนทำประมาณปานกลาง
เขาก็ได้รับความสุขพอปานกลาง บุคคลผู้ทำไว้น้อย ความสุขก็ย่อมมีน้อย หรือบุคคลผู้ที่ไม่ได้ทำความดีไว้พอกับความต้องการ
การเกิดมาเป็นมนุษย์ก็สักว่าแต่เกิดมาเป็นมนุษย์ย่อมเป็นคน ที่โง่เง่าเต่าตุ่นอะไรเหล่านี้เป็นต้น
หรือได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนนานับประการ พวกเราก็มองเห็นได้ เมื่อหากพวกเรามองเห็นว่าบุคคลที่ไม่ได้ทำความดีเอาไว้ให้พอกับความต้องการเพียงแค่ทำความดีที่บันดาลให้มาเกิดได้เพียงมนุษย์ได้พ้นไปเสียจากภพชาติอันต่ำ
หรือภพของสัตว์เดรัจฉานอะไรเหล่านี้เป็นต้น ก็นับว่าเป็นโชคของเขาอยู่
แต่เมื่อมาพิจารณาความเป็นอยู่ของเขาแล้วไม่มีความสุขเหมือนท่านผู้ดีที่ได้ทำความดีเอาไว้
เมื่อพวกเรามาพิจารณาอย่างนี้พวกเราจึงได้พากันพยายามประพฤติปฏิบัติหาทางกอบโกยเอากองกุศลที่เกิดให้มีขึ้นในพวกเรา
เมื่อพวกเรากระทำอย่างนี้ พวกเราท่านทั้งหลายก็ได้รับความสุขในชาติปัจจุบัน
ความสุขในชาติปัจจุบันก็อย่างที่พรรณนาสู่ฟังมานั้นว่า พวกเรานึกถึงกองการกุศลความดีที่พวกเรากระทำนี้
เมื่อนึกมาเมื่อไรแล้วก็ ก็มีความสุข ความปลื้มใจ ความสุขความปลื้มใจอันนี้แหละมันเป็นบุญกุศล
เมื่อพวกเราจุติเคลื่อนจากชาติมนุษย์ของพวกเราไปแล้ว สะคัลไลย คือ สวรรค์
ย่อมเป็นสถานที่จรไปของพวกเราท่านทั้งหลายผู้เป็นเจ้าของของทานนี้ ณ ศาลาการเปรียญ วัดเขาสุกิม |
กระดานข่าว |
อ่านสมุดเยี่ยม |
เชื่อมโยงกัลยานิมิตร
>> |
วัดเขาสุกิม สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2543 |
พัฒนาและออกแบบโดย
นายทวีศักดิ์ รัตนคม ติดต่อสอบถามได้ที่ webmaster@khaosukim.org และทาง msn ได้ที่ hs2wjo@hotmail.com |