หลวงปู่สมชาย
ฐิตวิริโย ประธานสงฆ์วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี |
เรื่อง : โลกทิพย์ ตอนที่ ๑ |
ทีนี้ อีบัดเราจะตายนะตามทุกขเวทนานี้บอกไม่ถูก แหม..เผาผลาญเราจจริง
ๆ ด้วย ทีนี้ก็พอตอนจะตายนี่หายใจคล้าย ๆ ท้องที่มันยุบลง ๆ ๆ ๆ พยายามเบ่งให้มันออกมันก็ไม่ออก
ยุบเรื่อยลง ลึกลง ๆ ๆ ๆ อะไรทำนองนี้ ทีนี้หายใจมันมาแค่น่าอก ล๊อกแล๊กถอนเลย
หายใจคล้าย ๆ มันวิ่งออกทันทีเลย คลึก ๆ หายใจไม่ลงถึงท้องเลย นี่อีบัดมันจะตายนะ
ทีนี้ทุกขเวทนานี้ โอ้โฮ มันเอาบอกไม่ถูกเลย ทีนี้ความตายของคนเรา ขอโทษเถอะ
มันตายมาตั้งแต่เท้านี่แหละ ตายมา ๆ ๆ ๆ หมดความรู้สึกกระดุกกระดิกไม่เป็นเลย
ทีนี้ทางมือนี้ก็ตายมา ๆ ๆ ๆ ทางหัวนี้ก็ตายมา ๆ ๆ ๆ ความรู้สึกมารวมเพียงแค่หน้าอก
มีความรู้สึกอยู่เพียงแค่หน้าอกอย่างเดียว แล้วก็สังเกตลมหายใจเข้าออก เราหาจังหวะอย่างนี้แหละ
หาจังหวะหายใจ เราก็กลัวตายนะไม่ใช่ไม่กลัว กลัวตาย พยายามประคองลมหายใจเข้า-ออกไว้
บังคับกลัวมันจะตาย แต่มันหายไม่เข้า พุ่งออกมันก็ไม่ออก เข้าก็ไม่เข้า มันแน่นตื้ออยู่หน้าอกนี้
มันมารู้สึกรวมอยู่ตรงนี้ ทีนี้ต่อจากนั้นสักพักหนึ่ง ก็คล้ายกับว่าจิตมันรวมเป็นสมาธิ
เออ..มันก็ไม่แปลงอะไรกับทำสมาธิเหมือน ๆ กัน คล้ายกับว่าจิตมันรวมลงมีความรู้สึกมันรวมจุดเหมือนกัน
สักพักใหญ่ทุกขเวทนาที่บังคับเราหมด นึกแปลกก็ เอ..เมื่อกี้เราเป็นทุกขเวทนาบีบบังคับเราอยู่น่าดู
อ้อ..ทีนี้ทำไมมันหาย เออ..มันหายได้หนอ ว่างั้นแปลกก็อยากจะลุกดู ก็ลุกเบาหวิวเลย
เอ..ลุกออกมาเดินได้สบาย ๆ เลย นี่มันเป็นสิ่งที่แปลก เราอย่าไปเข้าใจว่าเราตายนี่มันแปลกจากที่เรามีร่องอยู่นะ
ก็เหมือน ๆ กับอาตมาลุกไปทั้งดุ้นทั้งร่างของอาตมานี่ ออกไปเลย นี่มันมีแปลกอยู่อันนี้อันหนึ่ง
และอันหนึ่งมันแปลกอีกว่ากลางคืนมืด ๆ เราสามารถมองเห็นอะไรต่ออะไรนี่ได้ชัดเหมือน
ๆ เรามองอยู่เดี๋ยวนี้ แต่จะว่าเหมือนกลางวันก็ไม่ใช่นัก ไม่ใช่เรามองออกไปอย่างนี้
ให้แสงมันเคืองตาอย่างนั้นไม่ใช่ เหมือน ๆ อย่างนี้แสงมันขาว ๆ แต่มันนวลกว่านี้หน่วย
ขาว ๆ แล้วเราก็สามารถมองอะไรต่ออะไรได้ชัด เช่น อย่างอาตมานึกถึงเณรเขามาบอกตั้งแต่พลบค่ำว่า
เณรไม่สบายนะ ทีนี้อาตมาอยากจะไปดูเณร เพียงตัดสินใจตกลงว่าจะไปดูเณรเท่านั้นเอง
ทำไมอาตมาจึงไปยืนมองดูเณรอยู่นั่น ถ้าเณรตื่นขึ้นมาในจังหวะนี้ ก็จะเห็นว่าผีหรอกน่ากลัวโจนกุฏิแน่แหละ
นี่ขนาดที่เณรนอนอยู่นั่นน่าชัดเห็นชัดเลยและที่ไปนั่นไม่เหมือนกับเราเดินไปนะ
พอนึกเท่านั้นก็ถึงเลย อันนี้เป็นสิ่งที่แปลง เอ..ชักสงสัยว่าเรามาได้อย่างไร
มาถึงกฏิเณรนี้ได้ ก็ได้เห็นเณรนอนหลับอยู่เป็นปกติ ว่าจะจับดูกลัวเณรจะตื่นไม่กล้าจับ
ก็นึก อื้อกลับกุฏิเสียเถอะเณรหลับแล้วว่างั้น เพียงแค่ที่ว่ากลับกฏิเสียเถอะ
อ๊ะ
พอหมุนตัวเท่านั้น เอ๊
ทำไมมันกลับไปยืนอยู่ที่บนกฏิอีกแล้ว พอไปยืนอยู่กฏิมันเข้าไปอยู่ในห้องเลยไม่รู้ว่ามันไปเข้าตรงไหน
ประตูมันก็ปิดอยู่ อันนี้ก็เป็นเรื่องแปลกอย่างหนึ่ง พอมองไปที่ ๆ นอน อ้าว
เป็นคนนอนอ้าปากตาเหลือกอยู่คนหนึ่ง
มองเอ๊
ก็เป็นเรานี่ นี่เป็นสิ่งที่แปลกอย่างนี้ เอ๊
นี่มันก็เป็นเรานอนอยู่นี่
เอ๊
ทำไมเราเกิดเป็นสองคนได้ เอ้า
แล้วคราวนี้ตกตะลึงแล้วซิคราวนี้ ทำไมเราเป็นสองคนเลยแปลกใจ
เอ๊
เรานี่ถ้าจะเป็นผู้วิเศษ เอ๊
เมื่อกี้ความทุกขเวทนามันแรงกล้าบีบบังคับมันด้วย
จะอะไรซักอย่างเราลอกคราบได้ กลายเป็นสองคน แล้วคราบอันนั้นจะไปทิ้งอันนี้จะยังอยู่
ในทำนองนี้ ไม่ได้นึกว่าตัวเองนึกว่าลอกครอบได้นั่นแหละ นึกไปนึกมา เอ๊..เมื่อกี้ทุกขเวทนาแรงกล้า
หรือว่ามันตายหว่า เอ๊
ถ้าตายทำไมมาดูอะไรทั้งหมดมันก็ปกติอยู่นี่ เอ๊
เราก็ยังปกติอยู่ทุกอย่าง
เราก็ไม่ได้ตายอะไรเลย เผื่อหากว่าเราตายอย่างนี้เราจะไปกลัวทำไม ทีนี้เรากลัวตายที่ไหนได้มันไม่น่ากลัว
ตายแบบนี้ ก็เรายังมีอยู่ครบทุกส่วน เอ๊
แต่ทำไมอันนั้นมันนอน เอ๊
มันลอกครอบหรอกมั้งไม่ใช่ตาย
มันก็เถียงกันอยู่อย่างนี้แหละ นักว่าลอกคราบได้ แต่ เอ๊..ทำไมมันแปลกเพียงแค่เราไปกุฏิเณรเมื่อกี๊
เพียงนึกก็ไปได้ อีบัดจะกลับเพียงแค่หมุนตัว ทำเรามาถึงได้ นี่เป็นเรื่องแปลง
นี่ ๆ เป็นสิ่งสำคัญ ทีนี้ต่อจากนั้นมันก็มาสำคัญอยู่ตรงที่สว่าง นี่มันก็กลางคืนแท้
ๆ นี่เสียงคนก็เงียบเชียบ ไม่มีใครพลุกพล่าน นี้ก็แสดงให้เห็นว่ากลางคืนแท้
ๆ แล้วทำไมถึงเรามองเห็นอะไรต่ออะไรได้ชัดอย่างนี้ เอ้าลองออกไปข้างนอกดูซิ
พอนึกว่าลองออกไปข้างนอกดูซิ ก็ไม่รู้มันออกไปทางไหน ประตูมันก็ปิดอยู่ มันก็ออกไปยืนข้างนอก
มองดูเดือนดูดาวอยู่นั่นแหละ เดือนก็ไม่มีมีแต่ดาว เอ๊
แต่ทำไมมันสว่างผิดปกติว่ะ
มองในวัดในวามอง ๆ ก็เหมือน ๆ เรามองกลาววัน อือ
แปลกใจเลยเข้ามาข้างในอีก
เข้ามาข้างในก็มาพิสูจน์คนนอนอ้าปากอยู่ เพราะเป็นโรคมาลาเรียขึ้นสมองประสาทมันบังคับปากมันก็อ้าตาเหลือก
น่ากลัวเชียวนะ แต่ว่าเวลาที่มองอยู่นั่นไม่กลัวเหมือน ๆ กับว่าท่อนไม้หรือหุ่นอะไรซักอย่างหนึ่งในทำนองนี้
ทีนี้ต่อจากนั้นไปก็ได้เห็นมี ๒ คน เขาลงมาเขาก็ชวนอาตมาไป แต่ว่าคนเขามาชวนอาตมาพูดทีแรกเราไม่ได้เล่า
ลงมาตั้งแต่แรกตั้งแต่อาตมาลุกขึ้นได้ เขามาชวนไปแต่อาตมาไม่ไป พออาตมาบอกว่าเวลานี้อาตมายังสนใจอยู่
คือ หนึ่งเรื่องเณรป่วน และสองเรื่องที่อาตมาลอกคราบ จะดูให้ดี ๆ เสียก่อน
กำลังสนใจเรื่องลอกคราบ นี่มันเป็นเรื่องแปลก จะพยายามพิจารณาให้ได้ความ
ตอนเช้าจะเล่าให้หมู่ฟังว่ามันแปลก เขาก็มาชวนอาตมาไป อาตมาก็มองอยู่สักพักใหญ่
อื้อ..ตัดสินใจลองไปดูนะ เขาทำอย่างไรถึงชวนเหลือเกิน เพียงนึกแค่นั้นแหละ
วูบวาบมันไปเลย ตามเขาไปแล้วแล้วไปตกแห่งหนึ่ง ที่นั้นอาตมาไม่เคยไปหรอกนะ
มันเป็นคล้าย ๆ กับว่าทุ่งแต่มันไม่ใช่ทุ่งมันเป็นป่าโปรง มันมีต้นไม้แต่ว่ามันอยู่สวยงามดี
แล้วใต้ลงมามันมีหญ้าสูงต่ำสม่ำเสมอกัน เขียว.. กว้าง..โล่ง แต่มองขึ้นข้างบนกิ่งไม้มันประสานกันเข้าหมดเลย
เข้าไปในนั้นรู้สึกว่ามันเย็น มองไปอย่างนี้ โอ้โห..เย็นตา ทีนี้ส่วนกายของเรารู้สึกว่าเย็นได้รับสัมผัสอะไรแปลก
ๆ นี่แหละ เป็นสิ่งที่แปลกอย่างหนึ่ง ทีนี้พออาจมาไป ไป ไป ไป เขานำไปบ้านหลังหนึ่ง
เขาบอกว่าบ้านอาตมานะ อาตมาไปถึงก็เหมือนกันกับบ้านอาตมา แต่มองดูแล้วก็ถ้าจะพูดอย่างที่เราพูดกันเขาเรียกว่าปราสาทนั่นแหละ
แต่ไม่เหมือนอย่างที่เขาวาดภาพนั่นนะ ไม่เหมือนหรอก ไม่เหมือน ทีนี้ส่วนอันนั้น
แหม ถ้าอาตมาเขียนวาดภาพเป็นนะ ถ้าอาตมาวาดเขียนเป็น อาตมาจะเขียนให้ดู ปราสาทที่อาตมาไปเห็นโลกทิพย์แปลกจริง
ๆ แต่ทีนี้ห้องหับมันโอ่โถง ได้ลวดลายของมันก็เหมือนกับลายทอง ลายแก้ว ลายอะไรต่าง
ๆ อย่างเขาว่านั่นแหละ แต่ไปเหยียบอย่างนี้นุ่มนวลดีนะ น่าอยู่ น่านั่ง น่านอน
แล้วก็พอเข้าไปอย่างนี้มันมีเสียงตนตรีนะ ครึม
ครึม.. มันดังอยู่ตรงไหนไม่ทราบหรอกนะ
แต่มันดังอยู่อย่างนั้นแหละ เราเข้าไปห้องนั้นก็ดังมันเปลี่ยนเพลง เพลงนี้เปลี่ยนเรื่อย
ๆ เหมือน ๆ กันกับว่าเราเข้าไปนอนอยู่มีคนขโมยเอาเทปหรือวิทยุอะไรขึ้นไว้บนเพดานในทำนองนี้แหละ
เสียงครืน ๆ ๆ เราก็รู้ว่ามันสนุก ๆ มันบอกไม่ถูก มันสนุกแบบไหน เอามาเล่าสู่กันฟังไม่ได้มันเพลินมันสนุก
บอกว่าบอกไม่ถูกก็แล้วกัน ไม่รู้จะเอาอะไรมาเทียบ เทียบกับความเป็นอยู่ของมนุษย์
เรานี่เทียบกันไม่ได้สักนิดหนึ่ง มองถึงความเป็นอยู่ในมนุษย์ มันมีแต่ความทุกข์บีบบังคับกันทั้งนั้น
เที่ยวอิจฉาตาร้อนกันเอย แย่งดีชิงเด่นกันเอง อะไรต่ออะไร โอ๊ย
บอกว่ามันสุขที่ไหนนะ
พอเข้าไปเห็นอย่างนั้นแล้วก็ เอ้อ
ไอ้หย๋า นี่แปลกเสียแล้ว นี่แหละมันแปลก
มันน่าไป แต่ในสถานที่นั้น คือ โลกทิพย์นั่นเอง โลกทิพย์นี่คืออะไร คือ สวรรค์
แต่ไม่รู้มันเป็นชั้นไหนนั่งพิสูจน์กันมานาน ชวนคุณปุ่นไปนั่งคุยกันพิจารณาว่า
ที่ผมไปมันชันไหนกันแน่ ลองคิดกันดู ปรึกษากัน ก็ตัดสินใจไม่ลงว่ามันตรงไหนกันแน่
ถ้าจะว่าพรหมโลกไม่ใช่ พรหมโลกมันส่วนรูปภพ อรูปภพ มันไม่มีดนตรีนี่ เรื่องดนตรีมันเป็นกามภพ
ๆ นี้มันเป็นสวรรค์ เขาเรียกว่าโลกทิพย์สวรรค์ ฉกามาวจร ๖ ชั้นนี่เอง มันต้องแห่งใดแห่งหนึ่ง
ทีนี้ต่อจากนั้นไปก็มาเล่าถึงการไปที่นี้ไปเที่ยวรู้สึกว่าคนที่อยู่ในบ้านออกมาต้อนรับอาตมานี่
เอ๊..มันอ่านนิสัยกันออกหมดใครเป็นใครมันรู้จักกันหมด แล้วก็ห้องหับในบ้านก็รู้หมดว่าห้องไหนเป็นอะไร
แต่มันแปลกอยู่อย่างหนึ่ง ห้องก็เป็นห้องเปล่า ๆ แต่มันมีเครื่องประดับ โอ๊โห
มีรัศมีสวยงาม
ตรงพื้นพรมของมันเหมือน ๆ กับว่ามันมีฟูกหนา ๆ เราไปเหยียบอย่างนี้นุ่ม มันน่านั่ง
น่านอนอันนี้เป็นสิ่งแปลกอย่างหนึ่ง ทีนี้ส่วนบรรดาคนที่อยู่ในสถานที่นั้น
ที่มาต้อนรับเรา เวลาเราไปอย่างนี้ตามเราเป็นแพไปเลย ทีนี้พอเราไปถึงบ้านหลังนู้นออกมาต้อนรับเราด้วยอัธยาศรัยไมตรีอันดีงามเชียวนะ
เอ้อ..รู้สึกว่าดี ทีนี้นำเราเข้าไปเที่ยวตรงนู้นก็เหมือนกับบ้านของเรา ห้องหับของเขา
ครืน..คล้ายพวกใคร ทีนี้ไปอีก ต่อไปก็อย่างนั้นแหละเขาก็รุมตามเราไปหมดทั้งโขยงแหละ
แต่ทีนี้เวลาเราเดินไปเหมือน ๆ กับเราไม่ได้เดิน คล้ายกับว่ามันลอยเรานึกว่ามันลอยเราไปอย่างนั้นแหละ
โอ้โห..รู้สึกว่าเพลิน ทีนี้ทุกคนนะจะเตรียมสบงเสบียงอะไรต่ออะไรหาบข้าวหาบของหรือกลัวหิวกลัวอดกลัวอยากไม่มี
อันนี้ไม่มีในสายตาเลย นี่แหละอาตมาไม่ได้ยืมใครมาพูดด้วยโดยตรงชัด ๆ นี่
ทีนี้ก็ไปเรื่อยจนกระทั่งถึงที่สุดแล้วก็กลับมา ที่นี้กลับมาถึงบ้านของอาตมานี่
อาตมาก็บอกว่านี่น่าคือว่าอาตมานี่คล้ายกันกบว่าคิดผิดไป เพราะไม่เข้าใจว่าตายแล้ว
มันไม่มีเกิดนึกว่ามันสูญ ในทำนองนี้ นึกว่าตายแล้วอะไรมันจะมาเกิด ตายแล้วมันก็สูญ
ๆ ไปอย่างนี้แหละ ธรรมะบทคำสอนต่าง ๆ คล้ายกันกับคำว่า พระราชาหรือท่านผู้ปกครอง
เป็นนักปกครองมีนโยบายเขียนให้คนกลัวบาปกลัวกรรมกลัวความชั่ว แล้วจะไม่ได้ทำความชั่วเป็นการสะดวกในเรื่องการปกครอง
หานโยบายโกหกคนหลง ๆ นี่น่านึกว่าอย่างนั้นนะ ทีนี้ทำก็ทำโดยเสียไม่ได้ ทีนี้สิ่งที่เราทำลงไปมันก็เห็นประจักษ์
ตาย
นี้มันเป็นจริงนี่ เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นอย่างนี้อยากกกจะกลับลงไปเพื่อสร้างโพธะะสมภารจจะทำความดีอย่างเข็งแรง
แล้วก็โดยจุประสงค์อันแท้จริง คือ ต้องการพระนิพพาน ไม่ได้ตองการแค่นี้จะไปพระนิพพาน
เบื่อหน่ายเหลือเกินภพชาตินี้ เพราะฉะนั้นอยากจะขอบรรดาพวกท่านทั้งหลาย กลับคนไปสู่มนุษย์โลกแล้วก็จะตั้งใจประพฤติปฏิบัติว่าอย่างไร
ทุกคนพร้อมกันที่มาเต็มกันนี่ยกมือพร้อมกัน สาธุ
ดังซ่า
เต็มเลย แล้วก็ตามส่งอาตมามาเข้าคราบ ทีนี้จะบรรยายย้อนหลังอีก เช่น เล่าว่าความแปลกในเรื่องโลกทิพย์กับโลกมนุษย์เรานี่แปลกกันมาก ตรงที่เรียกว่าบ้านของเขานี่ ไม่มีห้องน้ำหรือห้องส้วมนี่ประการหนึ่ง แล้วก็แสดงให้เห็นว่าไม่มีอะไรที่เขาเตรียมไว้สำหรับกิน อันนี้ไม่มี แล้วก็ลูกเล็กเด็กแดงที่จะอุ้มกันกระจองอแงไม่มีนี่อย่างหนึ่งไม่เห็นว่าไม่มีอะไรที่เขาเตรียมไว้ เห็นแต่คนโต ทีนี้ส่วนเทพเจ้าเหล่าเทพานี้ จะให้เหมือนรูปภาพที่เขาวาดไว้นี่นะ ใส่ชฎาหัวแหลม ๆ เหลิม ๆ อย่างนั้นไม่มีเลย แต่เทพเจ้านี่เห็นจริงมีจริง เทพเจ้าในโลกทิพย์ที่อาตมาเห็นนี้ มีแต่จะให้วาดภาพออกไม่ได้ แต่สิ่งที่อาตมาเห็นนี่มีเทพเจ้าในโลกทิพย์นี่เห็นชัด อาตมาไม่ได้โกหกหลอกลวงพูดตามความชัดความจริง พร้อมทั้งสิ่งที่อาตมาเห็นมานี่ สิ่งที่อาตมาเห็นมา อาตมาไม่ได้ยืมใครมาเล่า ไม่ได้ไปขอยืมใครหรือไปอ่านตำราที่ไหนมาเล่า แต่ว่าอาตมาเห็นมาชัด ๆ ตาหูของอาตมานี่แหละได้ยินมาด้วยหูชัด ๆ เห็นมาด้วยตาชัด ๆ นี่ มาเล่าสู่ฟัง ทีนี้มาเทียบเท่ากับความเป็นอยู่ของมนุษย์เรานี้ โอ้โห..ผิดกันเทียบไม่ได้ บอกว่าสุขนั่นจะเอาอะไรมาเทียบ ทีนี้ได้ความสุขความเพลิดเพลินของเราที่มีเสียงกล่อมครืน ๆ นี้มันเพลินขนาดไหนอาตมาบอกไม่ถูก บอกว่าถ้าใครไปเห็นเองแล้วก็จะรู้หรอก บอกกันไม่ได้ เป็นของแปลกมาก จะสมมุติมาเล่าให้ฟัง ให้เหมาะสมให้ถูกกับที่อาจมาไปเจอมานี้ บอกไม่เป็นเอาเลย เพราะฉะนั้นอยากจะให้พวกท่านทั้งหลายทำความดีเสียให้พอ แล้วก็ไปเจอเอาชิมรสมันดูเอาเอง ว่าทำไมมันช่างแปลกอย่างนั้น ไม่เหมือนนะ ไม่เหมือน สังเกตได้คล้าย ๆ กันกับว่าพวกทำบุญนี่ คล้ายกันกับว่าความยิ่งหย่อนของเจตนานี้มันผิดกัน แล้วก็การกระทำนี่ทำด้วยแรงของศรัทธาหรือทำด้วยหมู่ด้วยคณะ บางคนอาจจะทำด้วยความโง่เขลา เห็นเขาทำก็ทำ ในทำนองนี้ อาจจะเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นสังเกตดูเท่าที่อาจมาสังเกตดูอาจจะเป็นเทพเจ้า คนใช้ก็มี สังเกตดูจะเป็นไปไปในทำนองนี้ก็มี เพราะไม่มีความยิ่งใหญ่เลย อะไรเหล่านี้ก็มี แต่ทีนี้สำหรับท่านที่มีความยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นประมุขหรือว่าเป็นหัวหน้าในปราสาทแต่ละหลังนี่ เขามีความยิ่งใหญ่จริง ๆ แต่ถึงแม้อย่างไรก็ดีจะเป็นเทพเจ้า คนใช้ก็ดี หรือไม่มีความยิ่งใหญ่ก็ตาม เทียบกับความเป็นอยู่ของมนุษย์แล้วผิดกันไกลมาก ถึงแม้จะเป็นคนใช้ก็น่าเป็นจริง ๆ เทียบกับคนใช้ในสรวงสวรรค์ดีกว่าพระราชาในเมืองเราอีก อาตมามองดู ๆ นะความผาสุก หรือทุกสิ่งทุกอย่างเทียบเท่าดีกว่าความเป็นพระราชาในเมืองมนุษย์อีก จริง ๆ เสียด้วย แต่ไม่เคยเห็นความเป็นเทพเจ้า จักรพรรดิ จะแค่ไหนยังไม่เคยเห็น แต่สำหรับความเป็นพระราชาอย่างที่พวกเรามองเห็นกัน สมมุติเทวราชที่มองเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ เทียบไม่ได้ บอกว่าเทียบไม่ได้ก็แล้วกัน ตลอดอายุหรือความงาม ตลอดจนความสุขตลอดการลีลาอะไรต่างๆ มองแล้วรู้สึก อื้อหือ..มันน่าชมก็แล้วกัน นี่อาตมาเทียบกับพระราชาปัจจุบันเทียบกันไม่ได้ผิดกันไกล ที่เล่าถึงโลกทิพย์ที่อาตมาไปเห็นมาชัด ๆ ก็ต้องการอยากจะให้พวกเรานี้เข้าใจว่าเรื่องตายนี่มันสูญนี่มันสูญอะไร อาตมายังว่าอาตมามาลอกคราบเสียอีกแหนะ เหมือกัน ๆ กับว่าเราเดินออกไปทั้งดุ้นทั้งตัวนี่มันเป็นอย่างนั้นเสียด้วย นี่หนาเรื่องของมันนี่ขอให้พวกเราพิจารณากันเถิดโลกนี้มี โลกหน้ามีแน่นอน ตายแล้วมันไม่ใช่เราตาย อัตภาพร่างกายตายแต่จิตใจเคลื่อนที่ คล้ายกันกับว่าเราอยู่บ้านหลังนี้ บ้านหลังนี้มันหักเราต้องไปสร้างบ้านใหม่หรือไปก่อตัวขึ้นใหม่ ถ้าเราสะสมอะไรได้ดีเราสามารถจะสร้างบ้านได้ดีกว่าหลังนี้ ถ้าเราไม่ได้สะสมอะไรให้พออาจจะน่าดูก็แล้วกัน ไม่มีที่พึ่งอาศัยเลยก็ได้ ฉันใดเราทรงอยู่ในอัตภาพร่างกายอันนี้เราไม่ได้สะสมอะไรไว้ให้ดี ฐานะของเรานี้จะดีแค่เดิมไม่ได้ ต้องต่ำลงไปเป็นลำดับ ถ้าเราสามารถทำอะไรให้ได้ดีที่สุด เช่น ตัวอย่างบุญกุศลนี่แหละ เอ้า เราสามารถสะสมได้ดีที่สุด ฐานของเราต้องดี ฐานปัจจุบันเราเป็นมนุษย์ ต่อไปเราจะได้เป็นเทพเจ้า นี่แหละมันสูงขึ้นอย่างนี้ นี่เป็นอย่างนี้ ทีนี้มาเล่าถึงเรื่องสวรรค์หรือโลกทิพย์ที่อาตมาไปเห็นนี่ มันจะเป็นชั้นไหน วิจารณ์แล้วไม่ออก ไม่รู้จะเป็นชั้นไหนกันแน่นอน แล้วอาตมาก็ไม่ได้ถามด้วยว่านี่มันเป็นชั้นไหนไม่ได้ถาม แต่มันเป็นชั้นหนึ่งต่างหาก แต่มันมีที่อยู่ตั้งเป็นปราสาทโต โอ้โห.อยากจะให้ไปดูจริง ๆ นี่รู้สึกว่ามันน่าเพลิน แต่อาตมามาพิจารณาตามตำนานที่ท่านเขียนไว้ จะเป็นตำนานทางพุทธหรือพราหมณ์หรืออะไรก็ไม่ทราบ เช่น จาตุมมหาราช ก็มี เวปจิตติอสุรินทร์ เป็นเทพเจ้าผู้ใหญ่เรียกว่าเป็นพระราชาของสวรรค์ชั้นนี้ เลยขึ้นไปอีก ปรินิมมิตรพิภพ ก็มีปรินนิมิตรวสวตี ผู้เป็นพระราชา ทีนี้มาสังเกตดู เอ๊..ถ้าเราอยู่จาตุมหาราชหรือก็ทำไมไม่เห็นเวปจิตติอสุรินทร์ ถ้าเราอยู่ดาวดึงสพิภพหรือก็ทำไมไม่เห็นพระอินทร์ แล้วก็เรื่องการสู้รบขบกันอะไรต่าง ๆ อย่างที่เขาว่าก็ไม่เห็นมีท่าทีอะไรเลย มองดูแล้วมันชักแปลก อาตมาก็งง มันจะตรงไหนกันแน่นอน เลยอ่านกันไม่ออก ว่ามันเป็นตรงไหนกันแน่โลกทิพย์ชั้นนี้มันจะเป็นตรงไหนแน่นอน ทีนี้พร้อมทั้งพิสูจน์ความจริงแน่นอนแล้ว อย่างเขาเขียนในตำนานว่า พวกเทพเจ้าแย่งชิงอะไรต่อกันสู้รบขบกัดกันน่าดู มันจะเป็นจริงไม่ได้เลย เพราะเหตุไร อย่างที่อาตมาตายปุ๊บเข้าไปปราสาทวิมานรออาตมาแล้ว พวกพ้องบริวารทั้งหมดรอแล้ว พอเข้าไปถึงก็เป็นอันว่าเสวย ไม่รู้ว่าเราจะไปตกแต่งตรงไหน แล้วความดีของแต่ละบุคคลทั้งหมดนั้น ก็เป็นส่วนของใครของมัน แล้วทุกคนแสดงไมตรีจิตเป็นอันดีต่อกัน แสดงท่าทีเป็นกัลยาณมิตรที่ดีทั้งนั้น ไม่เคยบทบาทหรือท่าทีว่าข้าพเจ้าไม่ชอบกัน หรือข้าพเจ้าเกลียดคนนั้น จะแย่งชิงดีชิงเด่นกับคนนั้น อะไรในทำนองนี้ไม่มี ทุกคนที่เข้าไปร่วมกัน โอ้โห..มันเป็นแพไปเลย บอกว่ามันเป็นแพไปก็แล้วกัน มันมากสักเท่าไหร่ แต่ทุกคนพร้อมใจกันจริง ๆ ไปกัน โอ้โห..ต้อนรับขับสู้แล้วก็นำพาอาตมาเที่ยวไปจนตลอดรอดฝั่งมันก็อยู่ถึง ๑๐ ชั่วโมงนี่ มันก็ไปจนกว่ากลับมาถึงที่เก่าแล้วก็ลากลับ อาตมาพื้นขึ้นมาก็ ๓ โมงเช้า อาตมาตายไปตั้งแต่พลบค่ำ ยังมืดไม่ดีด้วย ตาย ตายไปจนถึง ๓ โมงเช้า ๙ นาฬิกา อาตมาฟื้นขึ้นมามันจะกี่ชั่วโมง ในราวสัก ๑๕ ชั่วโมง ลองคิดดูซี่อาตมาท่องเที่ยวอยู่ในโลกทิพย์เสียจนน่าดู เพราะฉะนั้นจึงว่าเรื่องตายสูญ อย่ามาพูดเลยอาตมาไม่เชื่อ ตายต้องเกิด ร่างกายมันตายจิตใจเรามันตายเมื่อไร มันเคลื่อนที่ไปเฉย ๆ นี่ นี่แหละอาตมาเห็นมาชัด ๆ อาจารย์นี่แปลกนะ ไม่ได้ไปยืมตำราใครมาพูด ไม่ได้ไปฟังเอาเสียงพูดใครมาเล่า ตัวเองเห็นมาชัด ๆ ใครไม่เชื่อก็ชั่งไม่เชื่อก็ตาม อาตมาพูดเรื่องจริง อาตมาไม่กลัวใคร ๆ จะหาว่าอาตมาโกหกพกลมหลอกลวง เอาไปเถอะ อาตมาไม่เสียใจเลย นี่เอาของจริงแท้ ๆ เล่าเรื่องของตัวเองแท้ ๆ อายุ ๒๖ ปี ไปไข้มาเลเรียขึ้นสมองแต่ก่อนไม่เคยเจ็บป่วยอะไรหรอก อาตมาเรื่อย ๆ จนพอถึงอายุ ๒๖ มันซัดเอาเสียจนน่าดูเลย สลบเลย ตานี่เหลือกเลย อีบัดฟื้นขึ้นมา โอ๊ย..แหมน่าดูก็แล้วกัน ตั้งแต่นั้นมาอาตมาตั้งใจประพฤติปฏิบัติ อ้าวทุกท่านมองดูเอาเองว่าอาตมาทำอย่างไรบ้าง ดูให้ดี ๆ อาตมาพยายามกระเสือกกระสนดิ้นรนอยู่ขณะนี้ก็เพราะว่าประสบการณ์ที่อาจมาเห็นมา มันบีบบังคับอาตมาเอง เพราะฉะนั้นสิ่งทั้งปวงที่อาตมาได้มานี้ อาตมาจะเอาเข้าพกเข้าห่อส่งไปหาพ่อหาแม่ หรือต้องการอยากจะให้เป็นประโยชน์ส่วนตนอย่างนั้นอย่างนี้ไม่เคยนึก นึกว่าความเป็นอยู่ในมนุษย์นี่มองดูแล้วว่ากันนิดเดียว แต่มองถึงความเป็นอยู่แค่โลกทิพย์ที่อาตมาไป จะเป็นชั้นไหนไม่ทราบเทียบกันไม่ได้แล้ว แล้วอันนั้นไปได้ด้วยแรงกรรม คือ กรรมดีแท้ ๆ อันนั้นถ้าไม่มีกรรมดี คือ บุญกุศลที่สร้างสมเป็นอนุคามินี ติดตามเครื่องส่งแล้วไม่มีทาง ทีนี้เมื่อหากโลกทิพย์มีความสุขเพียงแค่นั้น พรหมโลกจะแค่ไหนหล่ะ ว่ากันจนถึงพระนิพพานแล้วมันจะแค่ไหนี่ เอ้อ มันว่าอย่างไรกัน นี่แหละอาตมาถึงกล้าลงทุนลงแรงทำอยู่อย่างทุกวันนี้ เอาซี่ เอาจริง ๆ อาตมาบุกทำจริง ๆ การทำของอาตมาไม่มีหน้าฉากหลังฉาก ไม่มีนโยบายอะไรทั้งหมด โดยจุดประสงค์เป็นอันเดียวเลยพุ่งตรงเข้าไปอันเดียวเลย จุดปรารถนาจริง ๆ เอาเป็นอันเดียว แม้แต่ทำวันนั้นอาตมายังเรียกว่าเด็กมาให้ปฏิญาณเลย ปฏิญาณสาบานตนเองเลย ต่อกองบุญกองกุศลอันนี้ โดยจุดประสงค์อันแท้จริงของเราคืออะไร อย่าให้สงสัยกันอย่าให้ได้กลัวกัน เอาให้จริงให้จัง แล้วก็แนะนำให้เข้าใจว่าความดีที่เราทำย่อมเป็นขอดีจริงไหม ที่อธิบายให้ฟังแล้วก็สามารถปฏิญาณต่อกันเสียน่าดูแล้วก็บุก นี่มันเป็นอย่างนี้ ทีนี้ทุกคนก็มองเห็นชัดว่าอาตมาทำนี้มันมีอย่างไรถึงทำอย่างนี้ ไม่ได้มีนโยบายสอนให้พวกท่านทั้งหลายควักกระเป๋าออกมา อาตมาเข้าพกเข้าห่อ โดยอย่างที่ครูบาอาจารย์เขาจะทำกันนี่ ไอ้ซึ่งเรามองเห็นอยู่เหล่านั้น หาเป็นเช่นนั้นไม่ อาตมานี้มุ่งจริง ๆ ไม่ได้สอนให้เฉพาะบรรดาพวกเราทั้งหลายนี้ทำ อาตมาเองขอให้มีเถอะ อาตมามุ่งเหลือเกินนี่ เพราะเห็นมาแล้วต่อหูต่อตา ใครจะว่าอย่างไรก็ว่าซี่ อาตมาบุกกันน่าดูก็แล้วกัน เพราะว่าสิ่งที่ประสบการณ์นี้มันขับไล่อาตมา บังคับอาตมา นี่แหละเล่าให้ฟังชัด ๆ เลย แล้วก็ให้พิจารณาเถิดพิจารณาเอาเอง เอาเรื่องจริงเลย อาตมาเอาเรื่องจริงนี่แหละ ไปหายืมคนมามันจะดีอะไร เอาเรื่องจริงซัดกันเลย หลวงพ่อ ขอโอกาสกระผม ผมเขาโกนเหมือนอย่างเรานี้หรือว่าผมยาว ผมโกนหรือ? เอ๊..ผมก็ไม่ได้พิสูจน์จนถึงขนาดที่เรียกว่าผมโกนหรือไม่โกน เรื่องที่ผมสนใจมันมากกว่านี้ครับ สิ่งที่ลึกลับที่ผมสนใจกว่านี้หลายเท่า แล้วสิ่งอื่นผมไม่ได้สำคัญ เทพเจ้าเหล่าเทพาชาวโลกทิพย์แห่ผมไปนะ ผมก็ไม่ได้สังเกต แต่ว่าแปลกครับ แต่ดูนัยหนึ่งก็จะเหมือนมนุษย์ แต่ดูนัยหนึ่งก็จะไม่เหมือน ไปดูเอาเองเถอะครับ มีโอกาสดีไปดูสักวันหนึ่ง แหม..ถ้าไม่ไปได้นี่ผมไปจริงครับ ผมนึกไม่ออกมันจะไปได้อย่างไรอีก ถ้าไปได้ผมจะไปเลยครับ โยมอ๋อย ไปดูแล้ว คนอื่นไปแล้วก็จะไม่ได้กลับมาบอกอีกนะซิครับ โอ้ย แปลกจริง ๆ โยมอ๋อย ถ้าอย่างนี้โอยอ๋อยจะเห็นอาตมาบ้าบออย่างนี้ไม่ได้หรอก ถ้าอาตมาไม่เห็นมาต่อหน้าต่อตา อาตมาก็ไม่อยู่ศาลานี้ อาตมาไปแล้ว อาตมาไปเห็นชัด ๆ มานี่แหละมันถึงได้บ้าบออยู่เดี๋ยวนี้กระเสือกกระสนจะตายอยู่นี้ ดูซิอาตมาเป็นอย่างบ้างมองดูแล้วก็แล้วกัน ทำอย่างไรดูซิ เพียงแค่นี้โยมอ๋อยให้เราไปดูเพียงแค่นี้ มันยิ่งน่าดูนี่ เพียงแค่อาตมาเดินทางไป ตรงทางที่ไป เหมือน ๆ จะเป็นไปทางอะไรทำนองนี้ เอาไปนี้นะเดินกันไปแล้วก็มีสองคนที่มาตามอาตมาคุยกันไป มองไปข้างลางโปร่งสุดลูกตาเลย โปร่ง เหมือจะเป็นทุ่ง แต่มันเป็นต้นไม้ แต่ห่าง ๆ ๆ กัน แล้วก็หญ้าใต้ต้นไม้นี่มันเสมอมองเขียว มองแล้วมันเพลิน เพียงแค่ดูต้นกับหญ้านั่นก็พอแล้ว พอมองขึ้นข้างบนกิ่งไม้เข้าประสานกัน มุงไปเลย ให้ความเย็นที่สุดก็แล้วกัน ถ้าคนนักสังเกตพวกทิดทัศน์อะไรต่าง ๆ ทำให้เคลิ้มหรือเพลิน ยิ่งจะน่าดู อาตมานี่เป็นคนรักต้นไม้อยู่ด้วย เพราะว่ามองเบื้องหลังของตัวเองก็รักต้นไม้น่าดูเหมือนกัน ตกมาปัจจุบันพอไปเห็นเพียงแค่นั้นแหละเคลิ้มเลย อาตมาเล่าความจริงให้ฟังเลย ทีนี้เราไปอย่างนี้ โอ้โห อาตมานึกแล้วว่า อาตมาไปถึงน่ะถ้ากลับออกมานะ มาถึงที่อาตมาอยู่นี่ให้อาตมากลับไปอีกนี่ดูเหมือนจะไปไม่ถูกโยมอ๋อย เพียงแค่อาตมาไปถึงแค่นั้นเขาบอกว่า โอ๊ยไม่ไปส่งหรอกเขาว่า ไม่ไปส่งหรอกจะไป ๆ เอง บิกว่าเสร็จไม่รู้จะไปทางไหนมันเหมือน ๆ กันทั้งหมด ที่อาตมาไปวกวนนี่โยมอ๋อยไปได้ไว้ด้วย จะบอกว่ามันเหมือน ๆ กันเสียเลย แค่คำที่ว่าเหมือนน่ะหมายถึงวกวน ถ้าหกว่าเหมือนทั้งหมดทำไมมันจะสวยงาม มันหากสวยงามอยู่นั่งแหละ มันสวยงามอย่างไรก็ไม่ทราบ ไปดูเอาเองพรุ่งนี้ไปก็ได้ ดีจริง ๆ ไม่ใช่พูดเล่น โอ้โห..นี่แหละอาตมาเห็นมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นอาตมาจะบ้าอย่างนี้หรือ นี่กระเสือกกระสนเป็นบ้าเป็นบอลืมเป็นลืมตายอย่างนี้ เพราะมันเห็นมานั่นแหละ ไม่ว่าใครทั้งหมด เอาซี่ถ้าโยมอ๋อยเห็นอย่างนี้ก็เหมือนกันนั่นแหละ รับรองเลยทิ้งสวนเงาะเข้ามาวัดแล้ว จริง ๆ ด้วย นี่เล่าสู่ฟังด้วยความจริงแท้ ๆ ถ้าอย่างนั้นอาตมาก็จวนอยู่แล้ว ปีนั้นจวนอยู่แล้ว ว่าเราจะสึกดีหรือจะอยู่ดี ทีนี้อยู่มองถึงความเป็นอยู่ตลอดหมู่คณะผู้ปฏิบัติก็อย่างนี้เราจะเอาอย่างไร แต่เราก็เชื่อแน่ว่าท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เป็นพระอรหันตขีณาสพแน่นอน ทีนี้จำลองการศึกษาจากท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถรมา อาตมาก็ฝึกในทางสติจนสมบูรณ์แล้ว ปีนั้นกำลังจะดำเนินใช้สติเข้าประกอบ แต่ส่วนประกอบ ๆ แต่มันการประกอบส่วนภายนอกแต่ก่อนนั้น แต่งอาการของกายกับวาจาใช้ปัญญาตรองและพิสูจน์ได้ความ แต่จะเข้าทำการปฏิวัติยุทธวิธีกับจิตอันแท้จริงก็ภายในปีนั้นกำลังเตรียมตัวอยู่แล้ว บังเอิญอาตมามาตายไปนี้ ไปเจอของจริงมา ทีนี้ละก็เอาละนะ ทีนี้ก็รวมกำลังนี้เข้าทรมานจิตเลย ตูมเข้าไป สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ขับไล่อยู่แล้ว พุ่งทีเดียวตกผางไปเลย ผลสุดท้ายจิตนี้ไม่กำลังอะไรที่จะมาต่อสู้จมเข้าไป จนได้ความรู้ผุดขึ้นมาสามารถทำการ (ตอนนี้เทปขัดข้อง) นี่อาตมาทำนะวิธีที่อาตมาทำเป็นอย่างนั้นแหละ และสิ่งที่รู้เห็นก็อย่างนั้นแหละเหมือนกัน เอาละน่ะมันยืดยาวเดี๋ยวคนที่นี้พน้อมถึงเทพเจ้าเหล่าเทพารบกันนี่มันไม่มีท่าที มันไม่มีช่องหรือไม่มีวี่แววซักนิดหนึ่งว่าจะรบกันได้เลย อาตมามองเห็นได้ชัดเหลือเกิน อันนี้ยิ่งไม่น่าเชื่อใหญ่ แต่แน่เหลือเกินว่าเทพเจ้าเหล่าเทพานี่อาตมาขอพูดตายตัวว่าไม่ต้องกินอะไร เอาดี ๆ เลยนี่แหละ ไม่ต้องกินอะไร เพราะอาตมาเข้าไปนะอยู่ในสถานที่นั้นอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง เขาคงจะหาอะไรมาต้อนรับอาตมาให้อาตมาได้ฉันบ้าง ถ้าหากว่าจะมีกินกันนะ อาตมาเชื่อว่าไม่ ไม่ อาตมาเชื่อว่าอย่างนั้น เชื่อว่าไม่ ไม่ต้องกินอิ่มเพลินอยู่ตลอดเวลา อาตมาเชื่อ ยังสงสัยว่าจะต้องไม่อาบเสียด้วยนา เพลินกันน่าดูการไปไม่ใช่เล่น จะชวนกับไปอาบน้ำเถอะอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มี เพียงแค่ดื่มน้ำอย่างนี้ก็ไม่มี การต้อนรับกันด้วยน้ำไม่มี เพียงแค่ต้อนรับกันด้วยไมตรีอันดีงามออกมาแสดงความดีต่อเรา แล้วก็เราไปไหนก็ตามเป็นแถวไป แล้วแสดงความเพลิดเพลินดีอกดีใจ อู๊ย บอกไม่ถูกเลย ถ้าเมืองมนุษย์ของเราอย่างนั้นแล้วก็ โอ้ ไม่อยากไป ไม่อยากหนีไปไหนเลย อันนี้แหละมันแปลกอยู่แล้ว นี่ชัด ๆ เพราะฉะนั้น ถึงว่าตำนานที่เขียนไว้ทั้งหมดนี้มันต้องพิจารณาก่อน แม้แต่ท่านสอนในเรื่องพุทธประวัติหรือภาคปฏิบัติทั้งหมด อันนี้เราก็ต้องดูก่อน อย่าอ่านแล้วเอาไปสอนคนอื่นง่าย ๆ ไม่ได้ เพราะเพียงแค่อาตมาไปเห็นมันเพียงโลกทิพย์แค่นี้นะ มันชักแปลกแล้ว อาตมาถึงบอกหมู่คณะว่า อื๊ย อย่าเพิ่งก่อน อาตมาว่าอย่างเพิ่งก่อน เพราะว่าสิ่งที่ไปรู้เห็นมาชัด ๆ มันไม่อย่างนั้นเสียแล้ว มันไปคนละรูปกันแล้ว บอกว่ารอก่อน ๆ พร้อมทั้งเรามาดูพุทธประวัติและความเป็นไปของพระพุทธเจ้าให้ดีแล้ว อย่างที่อาตมาว่าเมื่อกี้นี้ ความจริงพุทธประวัติไปแบบนี้ พระพุทธเจ้าดำเนินอย่างนี้พระองค์รู้เห็นอย่างนี้ พระองค์เอาชัยชนะได้อย่างนี้ จึงเกิดความรู้ดีขึ้นมาอย่างนี้ มาพูดกันเพียงแค่นี้ พุทธประวัติหรือปฐมสมโพธิ์ไปคนละทางกันเลย ไม่ตรงกันหันหลังให้กันแท้ ๆ นี่เอง นี่ความจริงที่อาตมาพูดเมื่อกี๊ ความจริงแท้ ๆ นา แต่หันหลังให้กันกับปฐมสมโพธิ์เลย ไปคนละรูปกันเลยทีเดียว เราลองคิดดู ถ้าเราเอาของจริงมาพูดกันมันขัดตำรากันทั้งนั้น ไม่ค่อยตรงกันเลย เพราะตำราวิจิตรพิสดารเหลือเกิน เพราะต่างคนต่างก็เขียนออกมา ไม่ใช่ตีพิมพ์เขียนมันขาดตกบกพร่องอะไรต่ออะไรบ้าง ตกเพียงตัวหนึ่งเท่านั้น ภาษาบาลีนี่ตกเพียงตัวเดียว เราไม่คุ้ยกับภาษานี้มาแปลไม่ได้ความไปคนละรูปกันเลย ผลสุดท้ายมันทำให้ศาสนาหรือคำสอนของพระพุทธเจ้าเขวความจริงไป เพราะอันนี้เป็นส่วนมาก ตลอดจนความเป็นอยู่ของสรวงสวรรค์นี่ โอ๊ย ที่อาตมาไปเห็นมาชัด ๆ แล้วมาค้นดูตำราแล้ว แล้วก็สบัดหัวปึ๊บเลย อาตมาตายแล้ว ไม่เอาแล้ว ไปกันใหญ่ พยายามกำหนดตามที่อาตมาไปดูรู้เห็นเทพเจ้าเหล่าเทพาตลอด โอ๊ย ยิ่งวาดภาพเทวดามาอาตมายิ่งหัวเราะใหญ่เลย ไม่เหมือนสักนิดเดียวเลย บอกให้ไม่เหมือนเลย ยิ่งพวกเทวดาเจ๊กนี่เอยยิ่งไม่เหมือนใหญ่ ถ้าอย่างนั้นแล้วก็ตาย เทวดาเจ๊กเมื่อก่อนเอามาไว้ตรงนี้ดูนั่นยิ่งไปกันใหญ่ เทวดาแขก เทวดาไทย เทวดาลาว เทวดาเขมร เทวดาพม่า ดูแล้วไม่เหมือน แต่มันก็เป็นเหมือน ๆ คน แต่มันแปลกอันนี้ไม่เหมือน แต่มันแปลกบอกว่าอันนี้ไม่เหมือนอย่างนั้นเถิดน่า ถ้ามันเหมือนแล้วก็ดูออก ที่ไปเห็นมานี่ เพราะฉะนั้นอาตมาว่าเขาเดาสวดเขียน แต่สำหรับอาตมาทำไมไม่ใช่นักวาดภาพ ถ้าเป็นนักวาดภาพ อาตมาจะเขียนให้ดูตั้งแต่ทางเข้าไปทีแรกเลย ถนนหนทางแยกไปตรงไหน ๆ อาตมายังจำได้ชัดไม่เลอะเลือนเลยเดี่ยวนี้ ต้นไม้นี้เป็นอย่างไร สีมันเป็นอย่างไร และปราสาทที่อาศัยเป็นอย่างไรแต่ละห้องแต่ละหับมันเป็นอย่างไร ในภาพของอาตมามโนภาพของอาตมานี่ชัดมาก ถ้าเป็นนักวาดเขียนจะดึงพื้นออกมาเลย เอาให้เห็นชัดขึ้นมาเลย ตลอดความเป็นอยู่ของเทพเจ้าเหล่าเทพาการเดินการเหินลีลาอะไรต่าง ๆ โอ๊ย อาจะมาจะเอาให้ดูชัด..ในภาพของอาตมานี่ชัดอยู่เดี๋ยวนี้ แต่ทีนี้อาตมาไม่ใช่นักวาดภาพเลยหมดท่าเหมือนกันทีนี้ นี่แหละจึงว่าโลกทิพย์มันมีจริง คือสวรรค์นั่งแหละ โลกทิพย์นั่นก็ดีก็สวรรค์ ๖ ชั้นนั่นแหละ แต่มันไม่จริงอย่างที่ตำนานเขียนมันไปอีกรูปหนึ่งคนละรูปกัน นั่นแหละทีนี้อาตมามาค้นดูอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าในหลักอนุปุพพิกถาไง พระองค์เล่าถึงความเป็นอยู่ของชาวโลกทิพย์ทั้ง ๖ ชั้นยังไง เล่าให้พระยศกุลบุตรฟัง ในครั้งสมัยยศกุลบุตรบ่นเพ้อออกไปว่า ที่นี่ขัดข้อง ที่นี่วุ่นวาย ๆ ในสมัยนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังทรงเดินจงกรมอยู่ กลับไปกลับมา ได้ยินจึงได้ร้องตอบออกไปว่า ที่นี่ไม่ขัดข้อง ที่นี่ไม่วุ่นวาย ขอเชิญท่านจงเข้ามาสู่สถานที่นี้เถิด พอเข้าไปถึงพระองค์เจ้าเทศนาในหลักอนุปุพพิกถาให้ฟัง มีอยู่ ๕ ประการ ทีแรกพระองค์อธิบายถึงเรื่องการให้ทานบริจาค มันจัดออกเป็น ๒ อย่าง คือ ให้ทานการบริจาคอย่าที่พวกเราให้ปัจจุบันนี้ซึ่งมองเห็นชัด ๆ นี่ก็เรียกว่าให้ทานบริจาคซึ่งวัตถุของเรา ให้แก่ปฏิคาหคผู้รับไทยทาน ซึ่งเป็นสิ่งที่สมควรแก่สมณะบริโภคและเป็นสิ่งสมควรแก่ปฏิคาหคผู้รับไทยทานอันี้เป็นส่วนวัตุทาน ทีนี้ทานอีกอย่างหนึ่งเรียกว่าเสียสละความชั่ว เช่น ตัวเอย่างเรามาตั้งสัตติยาธิษฐานขึ้น เพื่อต้องการทรมานหรือเอาชนะความชั่วของตัวเอง เช่นคนที่เคยดื่มเหลา จะเอาชัยชนะความอยากหรือคนผู้ประพฤติอนาจารต่าง ๆ พยายามเอาชัยชนะตัวเอง ก็อธิฐานหรือกล้าเสียสละลงไปได้อย่างนี้เรียกว่า เสียสละความชั่วของตัวเอง นี่ก็เรียกว่าให้ทาน พร้อมทั้งอานิสงส์ทั้งสองอย่าง พระองค์อธิบายเรียบร้อยเลย ในเป็นอันดับที่หนึ่ง อันดับที่สองพระองค์อธิบายถือเรื่องศีล คือผู้รักษากายและวาจาให้เป็นปกติเรียบร้อยเรียกว่ารักษาศีล ท่านเล่าถึงประเภทของศีลมีอยู่สามอย่าง คือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล จุลศีลนั้นได้แก่ศีลห้ากับศีลแปดอุโบสถศีล มัชฌิมศีลได้แก่ศีลสิบ หรือกรรมบทสิบ มหาศีลได้แก่ศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด หรือระเบียบอีกสองหมื่นหนึ่งพันพระธรรมขันธ์ อันนี้เป็นพระเภทของศีล หรือถ้าจะแยกส่วนใหญ่ของศีลนั้น มีศีลของปุถุชนท่านเรียกว่าศีลสังวรณ์ เช่น ปาฏิโมขสังวรณ์ศีลเรียกว่าศีลของปุถุชนธรรมดา ทีนี้ศีลของพระอริยเจ้าได้แก่ อริยกันตศีล หรือ มหาสติ คือ สติวินัยนั่นเอง อย่างพระอริยเจ้าทั้งหลายนี่ อันนี้จะเป็นไปเพื่อความเศร้าหมอง อันนี้จะเป็นไปเพื่อสะอาด รู้ดีรู้ชั่ว อันนั้นไม่ต้องบัญญัติท่านเป็นเอง เมื่อถึงที่สุดแล้วไม่ต้องมีวินัย ท่านไม่มีวินัย มีสติเท่านั้นเอง มีสติเป็นวินัย ระลึกรู้ ๆ ว่าจะเป็นไปเพื่อความเศร้าหมองหรือสะอาด สิ่งที่เศร้าหมองท่านตัดเลย อันนั้นเรียกว่าศีลของพระอริยเจ้า เรียกว่าอริยกันตศีล เป็นศีลของพระอริยเจ้า แต่สำหรับศีลสังวรณ์ เช่น ตัวอย่าง ปฏิโมกขสังวรณ์ศีลนี้ เป็นศีลของปุถุชนเขาเรียกว่าพระปุถุชน หรือสมมุติสงฆ์ ไม่ใช่ศีลของอริยสงฆ์ นี่จัดออกเป็นสอง เมื่อท่านถึงเรื่องลักษณะของศีล ตลอดการรักษาศีลอยู่ในเจตนาอะไรเหล่านี้เสร็จแล้ว พระองค์ก็อธิบายถึงเรื่องคุณประโยชน์ของศีล การรักษาศีลนั้นต้องมีอานิสงส์อย่างนี้จบแล้ว นี่เป็นประโยคที่สอง อันดับที่สามพระองค์อธิบายถึงเรื่องโลกทิพย์ทั้งหกชั้น อธิบายตั้งแต่จาตุมหาราชิกาขึ้นไปเป็นลำดับว่ามีความเป็นอยู่เช่นไร ตลอดอาหารการบริโภคอะไรต่ออะไร รู้สึกว่ามาดูตรงนี้ชัดซึม ๆ ๆ ๆ เข้าหัวใจอาตมา เอ้อ ชักจะเหมือน ๆ เหมือนกันแหละ เหมือน ๆ แต่บางแห่งเขาเขียนผิดไปดูเหมือนจะเขียนผิดไปอะไรในทำนองนี้ ไม่เหมือนก็มีและตรงที่เหมือนก็มีที่เราได้เห็นมาชัด ๆ จึงได้รู้ว่าตรงนั้นถูกตรงนั้นผิด ขัดขึ้นมาเป็นลำดับ ทีนี้พระองค์อธิบายถึงความเป็นอยู่ของชาวโลกทิพย์ทั้ง ๖ ชั้น พร้อมทั้งหาหารการบริโภคทั้งหมด เรียบร้อยหมด ต่อจากนั้นไปผ่านอันดับที่สามไปสู่อันดับที่สี่ พระองค์เทศนาถึงเรื่องกามคุณ กามนี้เป็นของที่มีคุณ คุณมันมีอยู่ แต่โทษมันก็มี ท่านบอกว่าสิ่งใดที่มีคุณสิ่งนั้นก็มีโทษ กามนี้มีคุณอนันต์มีโทษก็มหันต์เหมือนกัน ก็อธิบายให้พระยสกุลบุตรฟังว่ากามนี้อำนวยผลเพียงให้คุณเพียงแค่นี้ แต่ส่วนโทษของกามเป็นไปอย่างนี้ ท่านอธิบายแล้วยสกุลบุตรตัดสินเอาเอง คุณมีเพียงแค่นี้โทษมีเพียงแค่นี้ ท่านจะไปเห็นแก่คุณคือกามมันอำนวยผลให้เพียงแค่นี้ ยอมรับแบกเอาความทุกข์อย่างนี้ ซึ่งเป็นโทษของกาม จะเอาอย่างนั้นหรือเป่าหรือจะว่าอย่างไรท่านไม่ยอมรับไม่เอา ถ้าไม่ยอมรับไม่เอาแล้ว ท่านก็สอนเรื่องการเข้ามาอยู่วัด หรือการบรรพชาอุปสมบทเป็นอุบายวิธีหนีจากกามหรือหนีจากความทุกข์นี้โดยปริยาย แล้วเข้าศึกษาธรรมปฏิบัติเป็นวิธีหนีกามในทางตรง ท่านก็หาวิธีให้ ผลสุดท้ายศึกษาแล้วดำเนินก็ได้สำเร็จมรรคผลขึ้น แต่เขาบอกว่าฟังธรรมเทศนาได้สำเร็จเลยไม่ถูกอีกหละตัวนี้ ฟังได้ความแล้วท่านมาดำเนินประกอบเป็นเหตุให้สำเร็จขึ้น ด้วยอาศัยธรรมเทศนาเพียงกัณฑ์เดียวกัณฑ์นี้ ไม่ใช่ว่าฟังแล้วได้สำเร็จเดี๋ยวนั้น อย่างที่ตำนานว่าก็หาไม่ ไม่ใช่ นี่ความจริงมันมีอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อมาพิจารณาถึงเรื่องโลกทิพย์หกชั้นที่พระพุทธเจ้าเทศน์ให้พระยสกุลบุตรฟัง เอ้อ อันนี้ชักจะเช้าที แต่ว่ามันมีอยู่บางบทบางตอนไม่จริง เพราะว่าผู้เขียนอาจจะเขียนผิดอะไรในทำนองนี้หรือเลยเถิดไป อะไรทำนองนี้ขาดไปก็มี แต่อันนั้นก็ดูเหมือน เพราะอันนี้ออกมาจากพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ว่าคนจำอาจจะเสื่อมอะไรต่ออะไรเหล่านี้ อนุปุพพิกถาห้า ที่พระพุทธเจ้าเทศน์นี่เออเข้าใจหน่วยก็มีอย่างนี้แหละ เอ๊ นี่ว่าจะหยุดก็หยุดไปไม่ได้หรอกหนอ ควายก็ไม่มี กวางก็ไม่มี ไม่มีหรอกครับผมท้าได้เลยครับ ไม่มี หลวงพ่อ..แหมมันเขียนได้นี่ช้างสามสิบสามหัว โอ้โห เดี๋ยว ๆ นี่หลวงพ่อเอาอย่างนี้ครับพูดเพียงแค่นี้ นี่นาฮะผมพูดให้ฟังชัด ๆ มันจะขี่อะไรครับ ไม่ต้องขี่ช้าง ไม่ต้องขี่วัว ขี่ควายไม่ต้องขี่นกยูง ไม่ต้องขี่ไก่ขี่งูหรอกครับ ผมเพียงแค่จะไปดูเณรนี่เพียงนึกตกลง่าจะไปดูเณรทำไมมันไปยืนดูเณรอยู่แล้วครับ ผมจะกลับมาจากกุฏิโนมากุฏิผมนะครับ เพียงแค่ที่เรียกว่าผมหมุนตัวอย่างนี้นะครับว่าจะไปทำไมผมมายืนอยู่กุฏิแล้ว พอผมตกลงว่าจะไปกับคนสองคนที่ชวนไปเที่ยวโลกทิพย์นี่ พอตัดสินใจว่าจะไป ทำไมผมไปถึงสนามหญ้าใหญ่ ทำมันเป็นอย่างนั้นครับ มันจะไกลแค่ไหนไม่ทราบแผล็บเดียวถึงแล้วครับ คิดดูอย่างนั้น ถ้าหากอย่างนั้นมันจำเป็นอะไรที่จะร้องเอายานพาหนะมาขับขี่กันครับ ไม่ต้องขี่ข้างไม่ต้องขี่ม้าไม่ต้องหรอกครับช้าง ๓๓ เศียร แล้วก็เรื่องการสู้รบขบกัดในะหว่างพรมแดนของจาตุมหาราชกับพรมแดนดาวดึงส์สัตพิภพแย่งชิงสมบัติกัน โอ้ย..มันไม่มีทางหรอกครับ ไม่มีทางเท่าที่ผมเห็นแล้วไม่มีทางครับ ยังไงก็ไม่มีทางครับ เป็นของใครของเราเป็นส่วนใครส่วนเรา ปราสาทของใครของเรา สวนใครสวนเรา หมู่ใครหมู่เรา แต่ละหมู่ไม่ใช่ว่าจะไปถือนั่นก๊กหนึ่งนี่ก๊กหนึ่งอวดดีอวดเด่นกัน จะฆ่าจะต่อยกันอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มีครับ ไม่มี ๆ อันนั้นไม่จริง ๆ ครับ ก็เป็นอันว่าสุ่มกันไม่สนุก ๆ อย่างนั้นแหละครับหลวงพ่อเอ๋ย จะไปขี่อะไรครับเขาทำเฉย ๆ หรอก เขาขี่นกยูงก็มี ขี่งูก็มี ขี่กระต่าย ขี่อะไรก็ไม่รู้ หมาเขายังไปขี่มันเสียอก อึย..ไม่จริง หลวงพ่อไม่ต้องขี่ เชื่อเหลือเกินผม จริง ๆ นะครับนี่ผมไปเห็นมาแล้ว ผมนี้เป็นคนไปใครจะมาเป็นคนโกหกผมได้มาโกหกดูซีผมจะเถียงให้ดู ฮึ ๆ ๆ ๆ ขอโอกาส นั่นมันตำราพราหมณ์ใช่ไหมกระผม ครับมันเรื่องตำรา ตำราพุทธก็มีครับแต่มันเขียนพิสดารเกินไปครับ .เพราะฉะนั้นถึงว่าธรรมปฏิบัตินี่หลวงพ่อ ธรรมปฏิบัติที่ผมวางแผนที่ให้เกินนี่ ผมขอให้ดำเนินตามดูเถอะครับ ขอให้ดำเนินดูครับผมพูดนี่ผิดหมู่ผิดคณะมากครับ แต่อีบัดแล้วจะลงเอยว่าผมนี่พูดถูกนะครับ ทีหลังนา แต่ก็ขอให้เรานักเหตุผลพิจารณาเอาเองครับ อย่างที่มาเถียงกันจ๊อก ๆ แจ๊ก ๆ ปากจิ้งจก ตุ๊กแก เห่ากันอยู่ทุกวันนี้ เอ้ย อย่างนี้มันยังไม่รู้จริงหรอก พิโธ่..ธรรมในศาสนานี่เป็นของลึกเหลือเกิน นี่เล่าของจริงให้ฟัง ว่าไงคุณสุนทร ตายไปเห็นเหมือน ๆ กันกับผมนี่แหละ อีบัดกลับมาถามแล้วถาม แกเป็นคนพูดไม่ค่อยเป็นครับ ผมเล่าให้ฟังเท่าที่ผมได้ไปเห็นมาแกบอกว่าเหมือนกันนั่นแหละไม่แปลก ที่อย่างไปเห็นก็อย่างเหมือน ๆ กัน แต่ว่าแกเป็นคนไม่ช่างเล่า โอย..รู้สึกเสียดายครับ ถ้าหากแกอธิบายเป็นนี่คนจะอธิบายเรื่องโลกทิพย์ได้แยะครับแกไปนานนะครับนะ ไปตั้งสามวัน ไปอยู่โลกทิพย์ตั้งสามวันนะครับเที่ยวสนุกใหญ่เลย คนที่โน้นบ้านดงมัน อำเภอมุกดาหารนะครับ แหมแกไปเที่ยวอยู่ตั้ง ๓ วันแหนะ กลับมาจนเขาเสียข้างหนึ่งแหนะครับ แต่ยังไม่ได้เอาไปเผา เหตุแต่ที่จะยังไม่เอาไปเผาเนื่องจากมันอ่อนอยู่ จับเขาบอกมันยังอ่อนอยู่ เขาเลยไม่เผาครับ พอตอนฟื้นขึ้นมา ขาขวานี่ครับเสียข้างหนึ่ง ขาลีบไป สามวันครับที่ไปเที่ยวอยู่ในโลกทิพย์ โอยเพลินครับ เข้าใจหรือยังเรื่องโลกทิพย์นะเข้าใจหรือยัง เรื่องตายเกิดเกิดตายเข้าใจหรือยัง หรือมีข้อข้องใจอยู่อีกหรือนี่ แต่นี้ไปพวกเราเข้าใจแล้วอย่าลืมว่าเราที่ตายตายนี่ร่างกายมันตาย เราไม่ได้ตายนะจำไว้ให้ดีนี่อันหนึ่ง แล้วก็ต่อจากนั้นนะ ถ้าพวกเรานี่ไม่เช้าไปสูอมตมหานฤพานนะ ที่พวกเราทำความดีร่วมกันอยู่เดี๋ยวนี้นะ จะเป็นเหตุให้พวกเรานี่ร่วมกันไปเรื่อย ๆ นะ ไม่ใช่พวกเรานี่จะไม่ได้รวมกัน จำเป็นที่พวกเราจะต้องรวมกัน นี่อาตมาถึงได้กลัวเหลือเกิน กลัวอะไร เมื่อหากพวกเราร่วมกันนี่หากว่ามีอะไรไม่ดีต่อกันนะ ในวันข้างหน้าถ้าเราไปเจอกันนะก็เป็นศัตรูกันอีก แสดงความไม่ดีขึ้นมาเป็นศัตรูกันได้ เพราะคนเราจะรวมกันได้เนื่องจากมีเวรต่อกันนี้อย่างหนึ่ง เนื่องจากมีความดีที่ทำร่วมกันมานี่อีกอย่างหนึ่ง มันมาเกิดเกี่ยวข้องกันได้ ทีนี้หากในเมื่อนี่อาจทำอะไรไม่ดีต่อหมู่ผู้ปฏิบัตินี่ เรามีเวรเกี่ยวข้องในทางผู้ปฏิบัติ บังเอิญเราได้ไปเกิดร่วมกับหมู่คณะผุ้ปฏิบัตินี่ เราเป็นผู้มีเวรกับหมู่คณะผู้ปฏิบัตินี่ไม่เหมือนกัน ทีนี้เกิดมาก็เป็นศัตรูกับเขาอีก เมื่อเป็นศัตรูกับเขาอีกกำลังเขาดีกว่า เพราะความดีของเขามาก เขาก็ทำให้เราเดือดร้อน ได้รับความเดือดร้อนหนักลงเป็นลำดับ อันนี้ตัวหนึ่งหรืออีกอย่างหนึ่ง หมู่คณะกำลังจับกลุ่มที่จะดำเนินให้ถึงที่สุดอย่างที่พวกเราจับกลุ่มอยู่เดี๋ยวนี้ ตัวเองก็พาลเกเรหาเรื่องหาราวยุ่งตลอดเวลา กลายเป็นพญามารเบียดเบียนหมู่คณะไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงว่า เราอยู่ด้วยกันี่เราต้องพยายาให้มากที่สุดเท่าที่เราจะพยายามได้อย่าให้มีเวรต่อกันนี่อีกประการหนึ่ง แล้วอีกประการหนึ่งการทำความดีร่วมกันนี่เป็นของสำคัญ เราต้องพยายามทำความดีของเราให้ยิ่ง ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเรานี่อาจจะไปเกิดนะเป็นลูกคุณพ่อคุณแม่อันเดียวกัน หรือร่วมกันอยู่ในตระกูลอันเดียวกัน แต่คนที่ทำดีไม่เสมอหมู่นะ ถึงแม้จะเกิดในตระกูลอันเดียวดันก็ตาม ก็ผิดหมู่คณะ จนกระทั่งความสุขหรือสมบัติภัตสถานอะไรทั้งหมด ปัญญาก็ไม่เหมือนเขาเงอะ ๆ งะ ๆ ไปอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้แหละ มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวเหลือเกิน น่าหวั่นเหลือเกินสำหรับพวกเรา นี่อาตมาเตือนเหลือเกินบรรดาพวกเด็กหรือผู้รับการอบรมนี่ อาตมาพยายามอธิบายอันนี้ให้ฟังอย่างมากที่สุด ขอให้เข้าใจและอย่ามีเวรต่อกัน อาตมาพยายามอธิบายเหลือเกิน จนกระทั่งตอนสุดท้ายอาตมาอธิบายให้ฟังว่า เราทุกคนนี่มีหัวใจด้วยกันทุกคนหมด เมื่อมีหัวใจความรู้สึกสำนึกอันที่รวมกันมีอยู่ เช่น เกลียดความทุกข์ ชอบความสุข เกลียดความชั่ว ต้องการความดีนี่ เหมือนกันหมด ไม่ว่าสัตว์และมนุษย์ เมื่อหากเรามีเจตนาอย่างนี้เนื่องจากหัวใจของเรามีความรู้สึกอย่างนี้ เมื่อเราต้องการอย่างนี้ เราก็อย่าประกอบเหตุในทางที่ชั่ว เราอย่าประกอบเหตุทีเป็นไปเพื่อความทุกข์ นี่ถ้าเราประกอบลงไปเราไม่อยากหละ แต่จำเป็นมันต้องได้รับ ทีนี้เรานึกถึงว่าอื่นเขาก็มีหัวอกหัวใจเช่นกน ในเจตนาหรือความต้องการหรือความรู้สึกของจิตเขาก็เช่นกันกับเรา เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้ เราก็ไม่ควรทำความเดือดร้อนให้แก่คนอื่นที่จะทความเดือนร้อนให้แก่คนอื่น เพราะเขาก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับเรา เราให้เข้าใจได้สว่างชัดอยู่อย่างนี้ เสมอ ๆ แล้วการกระทำของเราที่จะทำความเดือดร้อนให้แก่คนอื่น หรือความทุกข์ทั้งหลายเนื่องจากเราเข้าไปสู่คนอื่นนั้น เป็นอันว่าเป็นไปไม่ได้นี่แหละ อาตมาพยายามเสมอ เพราะเหตุไร เพราะความว่าดีแะความชั่วที่เราทำเกี่ยวข้องกันนี่มันจะแตกสลายตัวไปในปัจจุบันนี้ก็หาใช่ไม่ มันจะต้องเหตุบันดาลให้พวกเราไปเจอกันในวันข้างหน้าไม่ชาติดใดก็ชาติหนึ่ง เมื่อหากเกี่ยวข้องกันในทางที่มีเวรเกิดมาก็เป็นเวรต่อกัน เมื่อเกี่ยวข้องในทางความดีเกิดมาก็ต้องมีความดีเกี่ยวข้อง เช่น ตัวอย่างปัจจุบันที่เราอยู่ด้วยกันนี่ ไม่ใช่ว่าพวกเรานี้บังเอิญเกิดมาเจอะกันเป็นเพื่อนกันเป็นมิตรกันร่วมปฏิบัติเป็นพุทธมามก มาจับกลุ่มกันอยู่ ณ สถานที่เดียวอย่างนี้ตั้งแต่ปัจจุบันนี้เท่านั้นก็หาไม่ มันเกี่ยวมาแล้วถ้าพวกเราสามารถมองเบื้องหลังของพวกเราเห็นนี่ สามารถเห็นได้ชัดว่ามันผ่านกันมาเท่าไหร่ สำหรับคนที่เป็นศัตรูกับหมู่คณะก็เป็นศัตรูอยู่นั่นเอง หมู่คณะมุ่งหวังความสงบสุขประพฤติปฏิบัติ ตัวเองก็เป็นพาลเกเรหาแต่เรื่องหาแต่ราวมีแต่เรื่องยุ่งเรื่องเหยิงอะไรต่ออะไรคยอที่จะก่อกวนความสงบสุขของหมู่คณะ แต่แท้ที่จริงคนนั้นมันเป็นมาแล้วตั้งแต่โน้น นิสัยสันดานเดิมยังมีอยู่มันก็ยังเป็นเวรกันอยู่อย่างเก่านั่นแหละ เพราะเหตุนั้น เราที่ร่วมกันอยู่อย่างเป็นอย่างนั้น ต้องมีจุดเจตนาหวังดีด้วยกัน และตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติและให้เป็นมิตรที่ดีคือกัลยาณมิตรต่อกันนั่นแหละดี ต่อไปเมื่อเราไปเกิดร่วมกันก็จะได้เป็นกัลยาณมิตรต่อกันอีก ถ้าเราไม่พ้นทุกข์นะ แต่ในจุดเจตนาหรือคำปณิธานปรารถนาของอาตมา อาตมาก็ว่าจะย่ำต๊อกให้มันถึง ไม่ถึงก็เอามันจวนเหลือเกินนู้นแหละ คิดในใจว่าจะเอามันเต็มที่เลยนะ เพราะว่ามองเห็นเพียงแค่โลกทิพย์ก็น่าดูอยู่แล้ว เทียบเท่ากับมนุษย์เรานี่เทียบกันไม่ได้ และเบื้องบนสูงขึ้นไปอีกมันจะแค่ไหน แต่ทีนี้เรื่องโลกทิพย์นี่หากมีผู้ชวนให้นำไปดู จับมือผมไปดูบ้างซิ มันอยู่ตรงไหนโลกทิพย์ บอกว่าแม้ตายท่านผู้ไปเห็นมาแล้ว ถึงแม้เป็นสิ่งที่จะไปได้นะ ไม่ได้ไปอย่างที่ท่านว่านะ สมมุติว่าเราพึ่งเดินไปได้อย่างง่ายอายนี่ ท่านก็ไม่มีปัญญาไปหรอกว่า เพียงแค่เขาปล่อยทิ้งไว้ที่โลกทิพย์ให้มาเองนี่ท่านก็ไม่มีปํญญามาแล้ว เพราะเหตุนั้น ถึงว่ามันจะจูงมือกันไปดูไม่ได้แต่ว่าเป็นของมีอยู่ ถามว่าอยู่ที่ไหนไม่ทราบเหมือนกันอยู่ทางทิศไหนลองชี้ให้ดูซิ ไม่ทราบมันอยู่ข้างล่างหรือว่าอยู่ข้างบนบอกว่าไม่ทราบเสียอย่างเดียวก็แล้วกัน มันอยู่ที่ไหนไม่ทราบ แต่มันมีอยู่เพราะไปเห็นมาได้ ไม่ใช่โกหกเป็นสิ่งที่ไปเห็นมาแล้ว แต่ว่าจะบอกอยู่ตรงนั้นตรงนี้บอกไม่ได้ เมื่อเขาถามว่า เอ๊ะ จะเป็นดวงเดือนดวงดาวที่ใส ๆ วับ ๆ อยู่นี่แหละมั้งเป็นโลกทิพย์ ไม่รู้ บอกว่าไม่รู้ แต่ว่าไปเห็นมาแต่ว่าจะเป็น มันจะเป็นโลกอะไรไม่ทราบ แต่ว่าเป็นโลกทิพย์นั่นแหละ แต่ว่าจะอยู่ตรงไหนไม่ทราบเท่านั้นเอง แต่ว่าเป็นของที่มีอยู่เห็นได้ ซึ่งไปเห็นมาแล้ว จะฝันหรือไม่ใช่ไม่ได้ฝัน สิ่งที่เราประจักษ์อยู่ เช่น เราฟื้นขึ้นมาตาลืน โพล่อยู่อย่างนั้นแหละ อันนี้อันหนึ่ง ปากก็อ้าอยู่แล้วก็ตัวแข็งกังด้วยกำมือที่อาตมาจับแบบนี้แหละ นี่แหละอาตมาประสานแบบนี้ เอาผ้ามาวางนะ ถ่ายฟ้าเอามาวางแล้วก็เอาด้ายสายสิญจน์ทำ เอาเทียนไขวาง เอาธูปวางเป็นบังสกุล ข้างขวามือ เสร็จแล้วอาตมามาจับแบบนี้นอนกอดไว้ในอกมันก็ติดอยู่อีแบบนี้ พอรู้สึกขึ้นมาก็แขนแบบนี้ ยังจับแข็งอยู่แบบนี้เอาออกจากกันไม่ได้ ตอนที่อาตมาเห็นภาพตัวเองนอนอยู่มันก็จับอยู่แบบนี้เหมือนกัน พอฟื้นขึ้นมามันก็ยังจับแข็งอยู่อย่างนี้แหละแข็งเด่ จนกว่าจะพยายามเอามืออกจากันได้นี่ก็น่าดูเหมือนกัน จับด้ายสายสิญจน์ติดเลย อันนี้เป็นสักขีพยานซึ่งมองเห็นชัดว่า แน่เหลือเกินเราเห็นร่างกายของเราเป็นอย่างนี้ จนถึงขนาดที่เรียกว่าแข็งเด่เลย ก็เหมือนคนตายนั่นแหละ ถ้าใครมาเห็นเข้าก็จะเอาไปฝังเสียก็ไม่รู้ นี่แหละคนตายคนเดียวแท้ ๆ นา ขนาดที่เรียกว่าฟื้นขึ้นมาอย่างนี้ ไม่กล้าบอใครหรอกอยู่เฉย นั่งกำหนดพิจารณาตองกาอยากจะให้ทราบจริง ๆ ว่าเราไปอย่างไร อย่างไรกลัวมันจะเลอะเลือน เขาบอกว่าถ้าไปเห็นใหม่มันจำได้จริงภาพไม่เลอะเลือน อีกสักประเดี๋ยวประด๋าวมันเลอะเลือน อาตมาก็พยายามกำหนดตาม จนวันนั้นไม่อยากพูดกับใคร ได้หลายวันมา จึงมาบอกอาจารย์ บอกว่าผมแย่เสียแล้ว ในคราวนั้นเป็นอย่างนั้น เพียงแค่ที่ว่าสลบไปแล้วก็ได้เห็นอะไรแปลก ๆ แต่อาจารย์ก็ไม่ถาม เมื่อไม่ถามก็ไม่ต้องพูด สี้เรียกว่าป่วยคนเดียวตายคนเดียวแท้ ๆ ไม่มีคนช่วยเลย ตอนนี้เป็นสิ่งที่น่าสังเวช เวลาไข้อาตมาเป็น เป็นไข้ขนาดหนัก ตอนนั้น ๘ วัน ข้าวกลืนไม่ได้เลย ๘ วัน ๘ คืน อันนี้ไม่มีใครช่วยเลยรู้สึกว่าน่าสังเวช อาตมานอนอยู่กุฏิตรงป่าช้า เพราะว่าหัววัดมันแหลม ๆ ไปทางป่าช้าก็เลยไปอยู่ตรงนั้น กุฏิเตี้ย ๆ แหมเวลาสร่างไข้ขึ้นมามันหิวน้ำ มันจะตายเอาซี่ ต้องคลานออกมา ออกมาตักน้ำล้างเท้า เอ้า..ไม่ได้กรองไม่ได้เกริงหรอก ไม่รู้จะไปกรองอย่างไร กลืนน้ำเสร็จอิ่มน้ำแล้วก็เกือบสลบนั่นแหละ นอนแผ่อยู่สักพักหนึ่ง คลานเข้าไปห้องนอนอีก รู้สึกว่าไม่ค่อยมีใครเอาใจใส่หรอก แท้ที่จริงหมู่คณะป่วยอาตมาเอาใจใส่ดีมาก แต่ในระยะที่ตัวเองป่วยนี่รู้สึกว่ามันกรรม มันเป็นคนที่มีกรรมมากที่สุดสำหรับอาตมา เพราะฉะนั้น ถึงว่าสังเวชที่สุดแล้วอยากจะหนีให้มันพ้น ๆ ๆ ๆ ๆ ไปเสียที เบื่อเหลือทนในความเป็นอยู่ในเมืองมนุษย์เรา ถ้าหากปัจจุบันนี้อาตมาก็ยังพอ สมัยนั้นรู้สึกว่าเรื่องเอาใจใส่หมู่คณะรู้สึกว่าน่าสังเวชเสียบอกไม่ถูก ในระยะที่เขาเป็นเราช่วยเอาเสียน่าดู ไม่ค่อยได้หลับไม่ค่อยได้นอนช่วยเหลือดูแลให้อุปการะอยู่ตลอดเวลา เวลาเราเป็นเข้ามาซักทีเดียวเท่านั้นเอง เกิดมาก็ไม่เคยเจ็บป่วยอะไรเลย มาโดนเข้าทีเดียวถูกหมู่ปล่อยทิ้ง เอาเสียตายคนเดียวแข็งเลย ขนาดแข็งอ้าปากตาเหลือกมันน่าอายเหลือเกินคนก็ไม่มาเห็นมาผิดหน้าให้ แหม..จนฟื้นขึ้นมาตาเหลือกเลยน่าสงสาร ฟื้นขึ้นมาจนแข็งหมด หิวข้าวหิวน้ำก็ไม่มีใครช่วยเลย ๘ วัน ๘ คืน มันอยู่ได้หรือมนุษย์ ไข้ก็ไข้หนักด้วย มาลาเรียด้วย ที่อาตมาป่วยมาปีหกเดือนที่มารุนแรงที่สุดก็ แต่ก่อนนั้นมันเคยอยู่มาขนาดหนักอยู่มา ๘ วัน ๘ คืน น้ำขนาดที่เรียกว่าพอสร่างขึ้นมามันแย่เต็มทน ค่อย ๆ คลานออกมาตักน้ำฉันเข้าไป แล้วก็เข้าไปห้องนอน ทีนี้ข้าวไม่ได้ฉันมันจะไปอยู่ได้อย่างไร นี่แหละมันน่าสังเวชที่สุดมนุษย์เรานี้ นี่แหละอาตมาถึงว่า โอย อาตมาจะพยายามย่ำให้มันถึง ไม่ถึงก็จะเอามันหวุดหวิดน่าดูแหละ ถึงก็ถึงไม่ถึง ก็ให้หวุดหวิด ไม่ถึงก็ให้มันรู้เสียว่าไม่ถึงกันหนอ ไม่ถึงก็ให้มันรู้กันว่าไม่ถึงกันเสียทีเถิดนา อาตมาคิดว่าออกพรรษาลาพระเจ้าก่อนน๊า ที่มันดีดีเหมาะ จะหาย่ำมันลองดู ย่ำตรงนี้ไม่ถนัดขึ้นยอดเขา จะไปย่ำมันได้เด็กที่ไหนสักคนสองคนไปหุงข้าวให้ เอาเถรนี่หรือยังไงว่าหึ เอากระป๋องไปต้มมันซัดมันให้มันเป็นอย่างไร อาตมาตั้งใจเหลือเกินออกพรรษาฟ้าฝนสงบเงียบ น่ากลัวบุกเหมือนกันนะอาตมานี่ แต่ไม่รู้จะขึ้นย่ำมันตรงไหนก็ไม่ทราบ ถ้าไม่เป็นห่วงผู้ปฏิบัติอยู่ ณ สถานที่นี้ โอ๊ย อาตมาจะออกย่ำหลายแห่งเหมือนกัน แต่เป็นห่วงผู้ปฏิบัติจะไปคนเดียวโดดเดี่ยวมันไม่สนุกเอาหมู่ไปด้วยดีให้หมู่ได้บุก แต่ก็ไม่แน่บางทีมันสนุกดีก็ย่ำมันบนกุฏินั่นแหละ ถ้าไม่สนุกก็จะอกข้าง ๆ น่ำมัน หาลูกศิษย์แล้วเอาข้าวสารไปต้มหนอเถรหนอ บุกกัน โอ๊ย เถวรนี่จะไม่ไหวเสียแล้วกระมัง ต้มข้าวไม่สุกฝนจะตกแล้ว เอาเถอะ |
กระดานข่าว |
อ่านสมุดเยี่ยม |
เชื่อมโยงกัลยานิมิตร
>> |
วัดเขาสุกิม สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2543 |
พัฒนาและออกแบบโดย
นายทวีศักดิ์ รัตนคม ติดต่อสอบถามได้ที่ webmaster@khaosukim.org และทาง msn ได้ที่ hs2wjo@hotmail.com |