หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
ประธานสงฆ์วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี

เรื่อง : เทศน์ฉลองศรัทธา คณะผ้าป่าปากน้ำพังราด ตอนที่ ๑

            วันนี้พวกเราเหล่าหมู่พุทธมามกะ คณะศรัทธาสามัคคีทั้งหลายได้มีจิตสันทนาการเป็นเอกฉันท์ร่วมอนุโมทนา หรือร่วมกองการกุศลด้วยกัน นำมาถวาย ณ สำนักสถานที่นี้ นับว่าบรรดาพวเราทุกท่านไม่มีใครคนใดคนหนึงบังคับบัญชาให้พวกท่านทั้งหลายมามีศรัทธา คือ ความเชื่อปสาทะ คือความเลื่อมใสเป็นมัคคุเทศก์นำพาพวกเราทั้งหลายมามีศรัทธา คือความเชื่อปสาทะ คือความเลื่อมใสเป็นมัคคุเทศก์นำพาพวกท่านทั้งหลายมา เพราะความจริงแล้วพวกเราท่านทั้งหลายที่จะทำความดีได้เห็นปานนี้ก็อาศัยความเชื่อหรือความเลื่อมใสเป็นตัวนำพาแน่นอน ความเชื่อหมายถึง เชื่อว่าทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว ความดีที่พวกเรากระทำนี้ย่อมเป็นส่วนของพวกเราหาได้เป็นของบุคคลผู้อื่นไม่และความชั่วหากบุคคลผู้ใดกระทำขึ้น ความชั่วนั้นย่อมเป็นของบุคคลของผู้นั้น พวกเราต้องคิดเห็นเป็นอย่างนี้แน่นอน คำที่ว่าความเลื่อมใสก็หมายถึงความเลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนา เพราะพวกเราทุกท่านก็คงจะมานึกถึงว่าอันพระศาสนาคือธรรมคำสอนของพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นของดี พวกบุคคลหรือผู้ใดประพฤติปฏิบัติตามศาสนาธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ย่อมจะได้รับความสุข ความเจริญเท่าที่พวกเราสามารถจะประพฤติปฏิบัติตามได้ หรือเพื่อแน่ว่า พระศาสนาธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้ เมื่อบุคคลมีความสามารถที่จะทำได้ถึงที่สุดแห่งนิพพานสุดท้าย ย่อมจะเข้าสู่อมตะมหานิพพานโดยไม่ต้องสงสัยความเลื่อมใสแน่ชัดประจักษ์ในกมลสันดานของพวกเรานี้มีอยู่แล้ว อาศัยความเชื่อ ความเลื่อมใสอันนี้และเป็นเหตุให้พวกเราเหล่าท่านทั้งหลายกำจัดหรือข่มตัวอัจฉริยะธรรมได้ เพราะเมื่อหากว่าไม่มีคำเป็นศัตรู หรือปฏิปักษ์ต่อมัจฉริยะธรรมสามารถที่จะกำจัด หรือย่อมออกไปได้นั้น ก็ไม่มีทางใดเลยที่บรรดาพวกเราก็จะทำความดีบ้าง มัจฉริยะธรรมคือตัวชี้ตระหนี่นี้มันเป็นธรรมดาของวิสัยปุถุชน เพราะว่าตัวมัจฉริยะธรรมมันเกิดมาจากความกลัว ที่ว่ากลัวนี้ก็คือว่ากลัวจะจน กลัวหิว เมื่อสมบัติเหล่านี้หมดไปแล้วมันจะจน มันจะหิว มันจะทุกข์ ความกลัวอันนี้ย่อมมีอยู่อย่างนี้ ความกลัวชนิดนี้ที่จะหมดไปได้สามารถจะนำเอาปัจจัยมิตทั้งหลายที่พวกเราท่านทั้งหลานแสวงหามาเพื่อต้องการจะมาบำบัดทุกข์ เพื่อต้องการจะมาบำรุงสุขนั้น เมื่อหากพวกเราไม่มีศรัทธาปสาทะทั้งสององค์มาเป็นเครื่องข่มแล้ว ตัวมัจฉริยะธรรมย่อมจะประสบจากสันดานของพวกเรา เมื่ออัจฉริยะธรรมไม่ตกไปแล้วรับรองว่าสมบัติทั้งหลาย ได้ที่พวกเราทั้งหลายหามาได้ยากนี้ไม่มีทางที่เราจะหยิบออกมาทำบุญให้ทานบริจาคได้เลย เพราะเหตุนั้นอาตมาจึงกล้าพูดจำพวกเรามี่ทำบุญลงไปได้นี้ต้องอาศัยศรัทธาปสาทะเป็นตัวกำจัดมัจฉริยะธรรมอย่างแน่นอน และอาตมาจึงได้กล้าพูดอีกว่า บรรดาพวกเราท่านทั้งหลายมานี้ต้องอาศัยศรัทธา และปสาทะนี้แลเป็นมัคคุเทศก์นำทางพวกท่านทั้งหลายมา เมื่อมาถึงแล้วพวกเราท่านทั้งหลายได้แสดงออกซึ่งความดี เช่นในทัศนะ คือในสายตาของอาตมาภาพที่มองเห็นนี้ก็ได้มองเห็นว่าพวกเราทุกท่านมีความยิ้มแย้มแจ่มใสรู้สึกว่าปลื้มปีติแก่อาตมา ผู้ที่เป็นเจ้าสำนักได้เห็นเข้า และพวกเราท่านทั้งหลายยังขวนขวายในทางที่อันเป็นกองการกุศลเพิ่มพูนต่อไปอีก เช่น พวกเรามีการกราบไหว้อภิวันทนาการ และกล่าวคำนมัสการแด่รัตนตรัยแก้วทั้ง ๓ และพวกเรายังรับเอาซึ่งเวรต่อเวรวิรัตตั้ง ซึ่งตั้งคำสัตยาธิษฐานขึ้นว่าจะรักษาศีล ๕ ประการตามแต่คำสั่งของพวกเราจะไปได้อีกบางหรือไกลแค่ไหนก็แล้วแต่อันนี้ เพื่อเป็นการบูชาแด่คุณพระศรีรัตนตรัยแก้วทั้ง ๓ หรือเพื่อเป็นบุญโกษฐ์ เพิ่มพูนกองการกุศลส่วนนี้หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งว่าเพื่อให้อุปการะทานแห่งพวกเรา เพื่อให้อานิสงส์เพิ่มขึ้นไปอีก ความพยายามและความขวนขวยอันนี้แล เรียกว่าพวกเราท่านทั้งหลายเป็นผู้แสดงออกซึ่งความดี เป็นผู้ไม่ท้อแท้ต่อการประกอบคุณงามความดี อันนี้ที่พวกเราทั้งหลายทำได้อย่างนี้คงจะมีปัญญาสอดลึกเข้าไปอีกว่า อันพวกเราทุกท่านที่เกิดมาได้เป็นมนุษย์นี้

            พวกเราท่านทั้งหลายต้องอาศัยกองการกุศลที่สร้างสมอบรมมาแล้วตั้งแต่ปุเรตชาติ ถ้าพวกเราไม่ได้ทำความดีเอาไว้แล้ว ที่ไหนได้เราจะเกิดเป็นมนุษย์ได้ หรือการเกิดมาเป็นมนุษย์ที่จะให้สมบูรณ์อย่างพวกเราสมบูรณ์อยู่ในปัจจุบันนี้ก็ไม่เป็นไปแค่นี้อาศัยคุณงามความดีที่พวกเราทั้งหลายได้เกิดมาเป็นมนุษย์ชาติที่สมบูรณ์ด้วยกำลังกาย ผู้สมบูรณ์ด้วยกำลังความคิด คือปัญญาเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยกำลังทรัพย์เป็นเครื่องอุดหนุนให้เราท่านทั้งหลายได้ประกอบกรรมดีได้ตามปรารถนา อันนี้ก็อาศัยคุณงามความดีของพวกเราสร้างสมอบรมไว้แล้ว จึงเป็นเหตุให้พวกเราได้ประสบอย่างนี้ การประสบอย่างนี้พระพุทธเจ้าพระองค์ยังสรรเสริญว่าบุคคลที่ได้สังขาร หรือร่างกายดีนี้เรียกว่าปุญญาภิสังขาร คำที่ว่าปุญญาภิสังขารก็อาศัยสังขารที่บุญแต่งให้ ซึ่งเรียกว่าปุญญาภิสังขารไม่เพียงแต่แค่นี้ อีกพวกเรามาพบปะ คำสอนของพระชินวรพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ไม่ใช่เป็นของมาพบปะได้ง่าย เพราะตามธรรมดาแล้วองค์สัมพัญญสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มาตรัสรู้แล้ววางประกาศศาสนธรรมคำสอนให้แก่ปวงชนเวไนยสัตว์นี้ก็หาได้ยาก เพราะการสร้างพระบารมีของพระองค์จะต้องเต็ม ๓๐ ทัศน์โดยบริบูรณ์ การสร้างบารมีของแต่ละพระองค์รู้สึกว่ายืดยาวหาที่สุดมิได้ลองคิดดู โคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราบ้างซิ พระองค์สร้างบารมีอย่างไรที่สุด ตั้งแต่พระองค์ได้รับพยากรณ์มาถึง ๔ อสงไขย กำไลแสนมหากัลป์ตั้งแต่ออกมาอุทานก็ ๒๐ อสงไขยกำไลแสนมหากัลป์ ตั้งแต่ออกปากมาแล้วละก็ยืดยาวนี้เราลองคิดดูอย่างนี้ก็แล้วกัน จนกว่าพระองค์จะสร้างบารมีนั้นก็ยืดยาวเหลือเกิน เมื่อเรามาพิจารณาดูแล้ว พระพุทธเจ้าทั้งหลายที่มาตรัสในโลกนี้ช่วงระยะสูญญกัลป์นี้ยืดยาวเหลือเกิน เมื่อหากบรรดาพวกเรามาเกิดในระยะสูญญกัลป์แล้วไม่เห็นจะได้ทำคุณงามความดีอะไรได้เต็มที่เลย แค่นี้พวกเรามาพบปะธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาจารย์เข้านี้เป็นบุญอันประเสริฐของพวกเราแล้ว เพราะเหตุนั้นพวกเราอย่าประมาทให้รีบเร่งขวนขวายประกอบคุณงามความดีเข้าอย่างที่พวกเราทำนี้ดีแล้ว เมื่อหากพวกเรามาพบปะอย่างนี้ และพร้อมด้วยตัวของพวกเราได้ประกาศตนเป็นพุทธมามกะบริษัทในพระพุทธศาสนาเป็นบุญประเภทหนึ่งในเมื่อหากเรามาคิดถึง สรุปทั้งหมดแล้ว พวกเราเป็นได้อย่างนี้ เพราะพวกเราอาศัยบุญกุศล เมื่อพวกเราเห็นว่าบุญกุศลอันนี้อำนวยให้ผลเห็นปานนี้ เพราะพวกเราไม่น่าจะประมาทพวกเรานำประกอบขวนขวายคุณงามความดีให้เกิดให้มีขึ้นให้พอกับความต้องการ เพราะว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์อย่างนี้ ถ้าจะพูดนัยหนึ่งแล้ว ยกรูปเปรียบคล้ายกับกับว่าบุคคลที่มานี้ ซึ่งเป็นที่พักอยู่อาศัย แต่ถึงเวลากำหนดออกไปทำงานก็ต้องไปทำงานเสร็จแล้วก็กลับไปสู่บ้านของตัวเองอะไรทำนองนี้ ฉันใดก็ดีการเรามาอยู่ในมนุษย์โลกนี้ก็เท่ากันกับว่ามาทำงานเป็นย่านกลาง หรือเป็นจุดศูนย์กลางที่จะต้องประกอบในสิ่งที่ตัวเองมีเจตนามุ่งมาดปรารถนา เมื่อบุคคลผู้เห็นว่าอันความชั่วทั้งหลายเป็นของดีก็ต้องประกอบความชั่วไปตามความต้องการของเขาสำหรับพวกเราผู้มีทัศนะว่าการทำคุณงามความดีนี้ย่อมเป็นเหตุให้พวกเราท่านทั้งหลายได้รับความสุขความเจริญตั้งแต่ปัจจุบันชาติ เมื่อพวกเราจุติเคลื่อนไป ความนี้แลเป็นอนุคามินีติดตามไปเพื่ออุปถัมภ์ บุญกุศลทั้งหลายที่พวกเราสร้างสมอบรมเอาไว้เสมือนเป็นหนึ่งญาติที่ดีย่อมจะคอยต้อนรับญาติที่เดินจรไปสู่สถานของตัวเองย่อมคอยพิทักษ์รักษาให้ความสะดวก ให้ความสุขฉันใดก็ดี บุญกุศลทั้งหลายนี้ก็เหมือนกันกับญาติของเราย่อมจะติดตามคอยพิทักษ์รักษาให้พวกเราได้รับความสุขเหมือนกันต่อไปฉันนั้น เพราะเหตุนี้พวกเราทุกท่านที่อยู่ในย่านกลางนี้ พวกเราควรจะประกอบขวนขวายกองการกุศลให้เป็นญาติที่ดีเป็นอนุคามินีติดตามพวกเราต่อไป เมื่อพวกเราเคลื่อนจากนี้ไปนั้นอายุในสถานที่จะต้องไปเสวยจะต้องรู้สึกว่ายืดยาวมาก สมมติตัวอย่างพวกเราขึ้นไปสู่สะคัลไลยกล่าวแล้วคือสวรรค์เทียบกับอายุเมืองมนุษย์ของเราเทียบไม่ได้เลยรู้สึกว่ามีอายุยืนยาวผิดกันมา เผื่อว่าพวกเราไม่ได้ทำความดีเอาไว้เล่า เมื่อหากตกนรกแล้วอายุนั้นก็ยืนนานเหมือนกันได้รับความสุข ทุกข์ทรมานแสนสาหัสอยู่ ณ ที่นั้นนานมาก เมื่อพวกเรามานึกอย่างนี้ พวกเราทุกท่านก็คงจะไม่มีความมุ่งมาดปรารถนาในทางที่ชั่วคงจะมีความมุ่งมาดปรารถนาในทางที่ดี เพราะเหตุนั้น พวกเราจึงได้ขวนขวายในกองการกุศลเท่าที่พวกเราจะมีความสามารถจะกระทำได้ เช่น ให้ทานการบริจาคก็ดี รักษาศีลก็ดี เจริญเมตตาภาวนาก็ดีตามความสามารถ หรือตามเวลาของพวกเราพอที่พวกเราจะประกอบขวนขวายได้ พวกเราก็ไม่ได้ลดละประมาทเลย ได้พากันพยายามประกอบอยู่อย่างนี้ อันนี้นับว่าพวกเราท่านทั้งหลายไม่ลืมซึ่งคุณงามความดีที่อำนวยผลให้แก่พวกเราได้รับความดีเห็นตามนี้ พวกเราไม่ลืม พวกเราพยายามที่จะประกอบขวนขวายคุณงามความดีที่พวกเรามองเห็นคุณค่านี้ให้สู่งส่งยิ่งขึ้นไป เพราะว่าถ้าชาติปัจจุบันเราได้รับความสุขขนาดนี้ต่อไปในวันข้างหน้าเราก็จะได้พยายามทำความดี อันนี้ให้สูงส่งไปยกรูปเปรียบดังนี้ คล้ายกันกับว่าพวกเรามีบ้านอยู่หลังหนึ่ง เมื่อพวกเรามีบ้านอยู่หลังนั้น พวกเราได้พึ่งพิงอิงอาศัย แต่พวกเราอยู่ที่บ้านหลังนั้น พวกเราประกอบขวนขวายอะไรได้บ้างในเมื่อเราอยู่ ณ สถานที่นั้นในกาลนั้น เมื่อหากบ้านนั้นทรุดโทรม หรือทลายลงไป พวกเราไปสร้างบ้านใหม่นั้นก็ตามแต่กำลังทรัพย์ของพวกเรา เมื่อกำลังทรัพย์ของพวกเราดีก็สามารถจะสร้างได้บ้านดีกว่านั้นขึ้นไปอีกเป็นลำดับ เมื่อหากพวกเราไม่ได้ทำอะไรเอาไว้ตามปรารถนาแล้ว เมื่อบ้านหลังนั้นพังลงไปแล้วเล่าเราจะไปสร้างบ้านให้ดีกว่านั้นอีกเป็นอันว่าไม่ได้มีแต่ทางที่จะได้รับความลำบากฉันใดก็ดีเราอยู่ในเมืองมนุษย์ของพวกเรา ในปัจจุบันเรามองเห็นชัดเหลือเกินว่าความดีของพวกเราที่สร้างสมอบรมมาให้เรานั้นให้พวกเราได้รับความสุขเห็นปานนี้ เมื่อพวกเราไม่รับประกอบขวนขวายคุณงามความดีเอาไว้แล้วเล่า เมื่อต่อไปในวันข้างหน้าไม่เสมอตัวคำว่า ไม่เสมอตัวเทียบกับความสุขที่เราอยู่ปัจจุบันก็ขนาดนี้เทียบกับความทุกข์ที่เราอยู่ปัจจุบันก็ขนาดนี้ เมื่อเราพลาดท่าเสียทีแล้วเล่าความทุกข์นั้นก็จะมหาศาล เผื่อว่าพวกเราทำความดีแล้วเล่า เมื่อหากพวกเราเคลื่อนจากชาติมนุษย์ไปแล้วความสุขก็ทวีคูณฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุนั้นพวกเราผู้ที่มีหูดี ผู้ที่มีตาดี ผู้ที่เป็นพุทธมามกะบริษัทผู้ที่มองโปร่งโล่ง ตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบันว่าการทำความดีของพวกเราได้มีมาแล้ว เป็นเหตุให้พวกเราเห็นความดีเท่าที่พวกเราได้เห็นกันอยู่นี้แล้ว ขอพวกเราทุกท่านผู้ที่มีปัญญาพอสมควรนี้ จงอย่าลดละประมาทในการประกอบขวนขวายคุณงามความดีจนกว่าจะถึงอายุขัย เมื่อหากพวกเราถึงอายุขัยแล้วเล่าก็เป็นอันว่าความสุข ความเจริญย่อมีแต่เรา ขอให้พวกเราจงคิดดีอย่างนี้ก็แล้วกัน องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเทศนาดังอาตมาได้หยิบประพันธ์ธนคาถาเบื้องต้นนี้นี้ว่า กาโย ภิกขเว อาสาโร สาระมะกาตัพโพ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อัตมภาพร่างกายนี้ไม่จีรังกาลยั่งยืน พวกเราชัดเหลือเกินร่างกายร่างกายนี้ไม่จีรังกาลยั่งยืนตามธรรมดาสภาพของร่างกายจะต้องมีแปรลำดับไปตั้งแต่ต้นมาก็เป็นเด็กเล็กโตทวีขึ้นเป็นลำดับจนกระทั่งถึงกลางคนต่อมาก็กำลังน้อยถอยเสื่อมลงเป็นลำดับ ๆ จนกระทั่งถึงวัยชราอะไรเหล่านี้ เป็นต้น ถึงที่สุดแล้วก็ต้องตาย มองดูสภาพความของสังขารร่างกายนี้ก็ไม่จีรังอะไรเลย ย่อมจะเป็นของย่อยยับแตกสลายอันนี้เป็นของแน่นอน พระองค์เจ้าจึงสอนว่า เมื่อหากร่างกายเป็นสิ่งไม่จีรังกาลแล้ว พวกเราควรจะเอาร่างกายนี้ ซึ่งเป็นยานพาหนะที่ไม่จีรังกาลนี้ประกอบในสิ่งที่เป็นจีรังกาล สิ่งที่เป็นจีรังกาลคืออะไร สิ่งที่เป็นจีรังกาลนั้นได้แก่ บุญกุศล ท่านบอกว่าบุญกุศลนี้ตกน้ำไม่ไหลไฟก็ไม่ไหม้ โจรลักเอาไปก็ไม่ได้ ตลอดพระราชาหรือผู้มีอำนาจเหนือ เขาจะรับเอาไปก็ไม่ได้ เป็นอันว่าภัยพิบัติทั้งหายย่อมไม่เกิดีแต่สมบัติคือบุญกุศลอันนี้แน่นอน เพราะเหตุนั้นองค์พระจงมไตรมุนีนาถศาสดาจารย์จึงได้สอนพวกเราจะกระทำได้ เพราะเป็นสิ่งที่จีรังกาล เมื่อหากพวกเราสิ้นไปแล้วสิ่งเหล่านี้แลจะอนุคามินีติดตามพวกเราอีกต่อไปนั้น ขอพวกเราจงพยายาม อาตมาจะอธิบายให้ยืดยาวนักหรือเวลามันก็น้อย อาตมาจะขอยุติกันเพียงแค่นี้ บุญกุศลราศีของพวกเราที่พวกเราเหล่าท่านทั้งหลายได้ประกอบไว้ในบุญกุศลราศรีทั้งหลายนี้ เมื่อพวกเราทุกท่านต้องการจะอุทิศบรรดาผลให้แด่บรรดาญาติผู้ล่วงลับดับขันธ์ไม่สู่ปรโลกเบื้องหน้ากาลมีมารดาบิดาของพวกเราท่านทั้งหลายเป็นต้น เมื่อพวกเราจะอุทิศกาลบรรดาผลอันนี้ไปให้แก่ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ขอพวกท่านทั้งหลายเหล่านี้จงได้ทราบด้วยญาณวิถีส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือหากยังไม่ทราบด้วยญาณวิถีก็ดีขอให้พวกเราทุกท่านจงฝากข่าวสารอันนี้ไปแจ้งแก่ญาติของพวกเราทั้งหลาย มีรุกขเทวดา ภุมเทวดา อากาศเทวดา จงนำข่าวสารอันนี้ไปแจ้งแก่ญาติของพวกเราทั้งหลายนั้น จนกว่าจะได้รับทราบ เมื่อทราบแล้วขอจงอนุโมทนากองการกุศลกับบรรดาพวกเราท่านทั้งหลายนั้นด้วย เมื่ออนุโมทนากองการกุศลแล้ว เผื่อว่าบรรดาพวกท่านทั้งหลายเหล่านั้นตกทุกข์ได้ยากก็ขอให้พ้นจากทุกข์เสีย เผื่อว่ามีความสุขแล้วก็ขอให้มีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป สำหรับพวกเราผู้เป็นเจ้าของแห่งผลทานนี้ ความดีทั้งหลายที่พวกเราทั้งหลายกระทำไว้นี้จงเป็นสิ่งอนุคามินีติดตามพวกเราทุกท่านอยู่เสมอ ภัยพิบัติอันตรายทั้งหลายที่จะเกิดมีแด่พวกเราท่านทั้งหลายเหล่านั้น ขออำนาจคุณงามความดี อันนี้จงช่วยป้องกันขจัดเอาไว้อย่าให้ความชั่วทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นแก่พวกท่านทั้งหลายได้ ขอให้มีแต่ความสุข ความเจริญ จงงอกงามแก่พวกท่านทั้งหลายสิ่งใดที่พวกท่านทั้งหลายมุ่งมาดปรารถนาเอาไว้ สิ่งที่มุ่งมาดปรารถนานั้นจงขยับเข้ามาใกล้ท่านทั้งหลายจนกว่าจะสำเร็จได้ในที่สุดยุติธรรม เทศนาลงก็คงไว้เพียงแค่นี้

ณ ศาลาการเปรียญ วัดเขาสุกิม

 

หน้าแรกธรรมะ
กระดานข่าว
ลงสมุดเยี่ยม
อ่านสมุดเยี่ยม
ผู้เขียน


เชื่อมโยงกัลยานิมิตร >>
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว / สมเด็จพระมหาสมณเจ้า / พระนิพนธ์สมเด็จพระญาณสังวร / พุทธประวัติ, พุทธโอวาท / ธรรมะพุทธองค์ / พุทธศิลป์ โดย อ.เฉลิมชัย / ธรรมะจากพระป่า / กองทัพธรรมพระกัมมัฏฐาน / ประวัติหลวงปู่มั่น / หลวงตามหาบัวช่วยชาติ / จังหวัดจันทบุรี / อำเภอนายายอาม / รอยยิ้มของพ่อ

เหมาะสำหรับจอภาพที่แสดงผลที่ 800 x 600 และเพื่อความสวยงามยิ่งขึ้นหากแสดงผลที่ 1024 x 768 (Microsoft Internet Explorer)
วัดเขาสุกิม
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2543

พัฒนาและออกแบบโดย นายทวีศักดิ์ รัตนคม    
ติดต่อสอบถามได้ที่ webmaster@khaosukim.org   
และทาง msn ได้ที่ hs2wjo@hotmail.com