การปฏิบัติธรรมนั้นได้มีผู้ประพฤติปฏิบัติกันมาแต่โบร่ำโบราณมาแล้ว
แม้แต่ปัจจุบัน ซึ่งคณะที่กำลังดำเนินการอยู่ขณะนี้ก็ได้ตั้งหรือมีนามว่า
มีนามง่ายๆ อย่างที่ปรารถนาเมื่อตะกี้นี้ มุ่งหวังที่จะหาวิธีที่จะพ้นเสียจากโลก
จึงได้เขียนหนังสือชักชวนชาวพุทธทั้งหลาย ให้หาวิธีดำเนินตัวของ ตัวเอง หมายถึงทางด้านจิตใจให้พ้นเสียซึ่งจากโลก
เรียกว่าพ้นโลก โลกนี้ไม่ได้หมายความว่า เราเหาะหรือนั่งอยู่บนเครื่องบินเรียกวว่าพ้นโลก
ไม่ใช่ อย่างนั้น การที่ให้พ้นไปเสียจากที่นี้ หมายความว่า โลกธรรมทั้งหลายไม่สามารถที่จะบีบคั้นจิตใจของเรา
ปัจจุบันนี้วกเราทั้งหลาย ตกอยู่ในอำนาจ เหตุการณ์เหล่านั้น สุดแท้แต่เหตุการณืที่เราประสบื
จะชวนให้ราหัวเราะจนน้ำตาแตกน้ำตาไหล ประสบการณืที่เห็นจะชวนให้เราร้องไห้
ร้องไห้จนตา บวมสุดแล้วแต่เหตุการณ์ เราไม่ได้เป็นตัวของตัวเสียแล้ว อาศัยเหตุการณ์นำพา
อาศัยเหตการณ์เหล่านั้นแหละทำให้เราอยู่ได้
เพราะฉะนั้น พวกเราทุกคนทั้งหลายต้องการจะเอาชนะกับสิ่งเหล่านี้ ให้จิตใจของเรานี้มีอิสระเสรีโดยไม่อาศัยสิ่งเหล่านี้นำพา เราจะเหนือสิ่งเหล่า นี้ ได้ฟังแล้วปกติไม่หวั่นไหวตามกับสิ่งกระทบทั้งหลายเหล่านั้น จึงได้เรียกว่าพ้นจากโลกนี้ได้ วิธีที่จะที่ได้คือ ยังไง นอกจากวิธีทำสมาธิเท่านั้น วิธี ทำสมาธินั้นพวกเราคงจะทราบ เช่นอยู่ในองค์พระบรมโลกเชษฐ์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา วิธีทำสมาธิของท่านเจริญอานาปนุสติวิธี จะได้สำเร็จสัมมาสัมโพธิญาณ อาศัยกำหนดลมหายใจเข้าหายใจออก แต่ว่าคงจะไม่จำกัดนักว่าบางคน บางท่านก็ ถนัดไปคนละอย่างกัน แต่โดยจุดหมายคืออะไรนั้น ขอให้ตรงเป้าขอให้เป็นไปตามความเป็นจริง หรือตรงเป้านั้นก็ใช้ได้ คือพวกเราต้องการ จะรวบรวมกำลังอีกชนิดหนึ่งเรียกว่าอำนาจตบธรรมหรือคุณธรรมเช่นพวกเราจะได้เห็น เรากำหนดที่ปลายจมูกในเมื่อจิตของเราไปต่อสัญญาภาย นอกได้ก็ต้องนำกลับเข้ามาที่จุดที่ตั้งปลายจมูก กำหนดลมหายใจเข้าหายใจออก มีบริกรรมภาวนาเป็นองค์ประกอบสุดแล้วแต่เราจะทำ แต่ทางที่ดีนั้น ควรจะเอาของพระพุทธเจ้า คือ พุท - โธ อันนี้ดีมาก เพราะพระพุทธเจ้าคือพระบิดาของเรามีพระนามว่า พุทโธ หายใจเข้าพุท หายใจออก โธ เหมาะ เหลือเกินอันนี้ แต่ว่านึกในใจไม่ออกปาก หายใจเข้าพุท หายใจออก โธ ไม่วิ่งเข้าตามลม ไม่วิ่งออกตามลม กำหนดรู้ที่ปลายจมูก กำหนดพุทโธๆๆๆ เมื่อจิตวอกแวกกับอารมณ์สัญญา เรากลับมาจุดที่ตั้งปลายจมูกตามเดิม ในเมื่อทำนานๆเข้า นานๆเข้า อำนาจส่วนบังคับหรือสติสัมปชัญญะ หรือ ตบธรรมสูงขึ้น จิตของเราจะไม่หนีหน้าอำนาจส่วนนี้ไปต่ออารมณ์ กำหนดตรงไหนอยู่ตรงนั้น แจ๋วอยู่ตลอดเวลา อันนั้นเรียกว่าอำนาจส่วนนี้เหนือ จิตของเราแล้ว ในเมื่อเราได้อย่างนี้เสมอๆ...ๆ จนจิตของเราแจ๋ว จนจิตของเราไม่สามารถไปต่ออารมณ์สัญญาได้แล้วนั้น ก็เป็นโอกาสที่เราจะทดลอง ได้เลยว่า ประสบการณ์ทั้งหลายจะเป็นสิ่งน่ารักน่าชัง ในเมื่อเกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้เราจะหักห้ามได้อย่างไร เอาอะไรมาเป็นสิ่งหักห้าม ก็เอาอำนาจส่วน นี้มาหักห้าม ไม่ควรหรือไม่ จิตของเรามันยอมรับหรือไม่ เราทดลองดู ถ้าอำนาจส่วนนี้สมบูรณ์แล้วหักห้ามได้ทันที ไม่เอาจิตก็ต้องไม่เอา ในเมื่อเราว่า ไม่เอาจิตของเรามันวูบไปแล้ว จะมีอะไรเป็นสิ่งตอบแทนขึ้นมา คือความรู้สึกที่ถูกต้องผุดผางขึ้นมา ไม่เอาเพราะอะไร เป็นอย่างไร จะเข้าใจชัดเจนที่ สุดว่าอันนี้คืออะไร อันนี้แหละคือพกของผิด อันนี้แหละคือโลกธรรม คนและสัตว์ทั้งหลายตกอยู่ใต้โลกธรรม จึงด้เวียนว่ายตายเกิด ณ ที่นี่ ในเมื่อพวก เราเข้าใจว่า อันนี้เป็นกฎธรรมดาของโลกสรรเสริญและนินทา คำสรรเสิญและนินทาทั้งหลายเหล่านั้น บางที่อาจจะเป็นไปตามนั้นก็ได้ เช่นเราไม่ชั่วเขาว่า เราชั่ว เราไม่ดีเขาว่าเราดี มันก็ไม่เป็นไปตามนั้นได้ มันต้องอยู่ตามความเป็นจริง ของความเป็นจริงเท่านั้น ในเมื่อเราเข้าใจสภาพความเป็นจริงอันนี้ถูกต้องแล้ว เราก็จะได้ปล่อยวางอารมณ์และสิ่งกระทบกระเทือนทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ไปลอยคอในนั้น เหตุการณ์ที่แน่นอน ผิดวิสัยสามัญชนธรรมดา ซึ่งประสบการณ์ที่จะชวนให่เกิดความทุกข์รุนแรงเวลานอนไม่หลับ พลิกคว่ำพลิกหงายเวลาระส่ำระส่าย ไปลอยคออยู่กับเหตุการณ์ ล๊อบๆ แล๊บๆ จะหลับก็ได้หลับจะนอนก็ไม่ได้นอนวุ่นวาย แต่สำหรับผู้ที่มีอำนาจสามารถบังคับจิตของตนเองได้แล้ว ตรงกันข้าม หยุดไม่เอา ก็เป็นอันปล่อยวางต่อสิ่งเหล่านั้น ในเมื่อปล่อยวางลงไปแล้ว ความรู้อันที่ถูกต้องก็ขึ้นมาแทนที่อยู่เสมอ สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่า อันนี้มันคืออะไรกันแน่ นี่แหละคือพบของจริง อันนี้แหละคือเรียกว่า โลกธรรม อันนี้แหละซึ่งเป็นสายใยสื่อสัมพันธ์ของการเกิด ในเมื่อเรารู้เท่าและทำลายอันนี้ได้ จึงจะได้นามว่าโลกุตระ คือได้นามว่าเราไม่ได้เกิดอีกต่อไปแล้ว อะไร ในทำนองนี้ นี่หมายถึงอุบายวิธีที่ดำเนินสั้นๆ ง่ายๆ แต่พูดละมันง่าย แต่เวลาทำไม่สู้จะง่ายนัก อาตมาเองดำเนินมา ๓๕ ปี ไม่เคยลดละพยายามมาจนถึง ปัจจุบัน มันก็ได้แค่นี้เองได้แค่นั้น ไม่ใช่ไม่ได้มันได้ ไม่ปฏิเสธหรอกว่าไม่ได้ ได้ ก็ได้แค่ตัวเองได้นั้นเองเพราะฉะนั้น การกระทำ ต้องพยายามเอาแค่นี้ก็ แล้วกันว่า เรื่องของพระศาสนาจะให้รักษาศีลกันธรรมดาล๊อกๆ แล๊ก ๆ ยังไม่รู้จักคุณค่าของพระศาสนา ถ้าพวกเราบำเพ็ญภาวนาแล้วนะ แค่ให้เข้าไปให้ ถูกในคำว่าสัมมาสมาธิ เมื่อลมเข้าไปแล้วรสชาติของสมาธิเป็นไฉน พวกเราจะรู้ด้วยตัวของเราเองแล้วเมื่อพวกเราได้เข้าไปชิมลองดูสักนิดหนึ่ง ไม่ต้อง มากนักหรอก เราจะรักพระศาสนายิ่งกว่าชีวิต เราจะหวงแหนที่สุดไม่อยากให้ใครแตะต้อง แม้แต่ความประพฤติปฏิบัติของชาวพุทธ จะเป็นพระก็ตาม - ฆราวาสก็ตามเป็นการย่ำยีจาบจ้วงพระศาสนา เราจะเสียใจแทบเป็นลมตายเพราะเสียดายจริงๆ อยากให้พระศาสนานี้ตกทอดไปถึงอนุชนรุ่นหลัง ผู้มี บารมีที่จะเกิดมาเบื้องหลังจะได้เข้าประพฤติปฏิบัติได้ชิมลองดูรสชาติเช่นเรา อันนี้เราจะต้องคิดแบบเดียวกันหมด แต่ทำไม่ปัจจุบันนี้ทำไมไม่หวงแหน ไม่รักพระศาสนา คือพวกท่านทั้งหลายเหล่านั้นไม่ได้ปฏิบัติแล้วได้เห็นผลของสมาธิ จึงไม่เสียดายพระศาสนา จึงมองพระศาสนาไม่สำคัญ ความจริงแล้ว พระศาสนาเป็นสิ่งสำคัญและเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุด เท่าที่ตังเองได้ปฏิบัติมาถึง ๓๓ ปี ไม่เคยท้อถอยพยายามที่จะทำอยู่ทุกวี่ทุกวัน ยังไม่เคยนึกเบื่อ - หน่าย ยิ่งได้ทำยิ่งอยากได้ ยิ่งเห็นยิ่งอยากเห็น ยิ่งมีความสุขยิ่งมหัศจรรย์ ยิ่งอยากจะต่อไม่เคยที่จะท้อถอย และไม่เบื่อหน่ายต่อสิ่งเหล่านั้น ไม่เหมือน เราได้วัตถุยังรู้จักเบื่อ อันนี้ไม่รู้จักเบื่อยิ่งได้ยิ่งอิ่มยิ่งเอิบ ยิ่งดื่มยิ่งด่ำ เป็นสิ่งหมัศจรรย์มาก เพราะฉะนั้นจึงอยากขอให้พวกเรานักปฏิบัติทั้งหลายนี้ ตั้งใจปฏิบัติเพื่อชิมลองดูรสชาติ แต่พยายามศึกษาประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง ให้ศึกษาให้เข้าใจ เพราะปฏิปทาข้อปฏิบัติที่เขาวางสูตรให้ไว้นั้นไม่รู้กี่ สูตรกี่อย่าง ไม่รู้มีมาตั้งแต่ยุดไหนสมัยไหน ดังกล่าวก็มีมาตั้งแต่ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าเกิดเป็นต้นมาก็มี เพราะฉะนั้นจึงอยากให้ศึกษาในสิทธิ์ที่ถูกต้อง ที่ควร ในเมื่อทำแล้วจะได้ผลคุ้มค่า ไม่เสียทีที่เราประพฤติปฏบัติเล่าสู่กันฟังเป็นเบื้องต้นนะ แต่ก็เชื่อว่าพวกเราทุกคนนี้ได้ศึกษา และข้อปฏบัติได้เข้าใจ พอสมควรแล้วจึงไม่อยากจะสอนวิธีนั่งสมาธิทำอย่างไง อะไรต่ออะไรเหล่านี้ เป็นต้น ถ้าจะไปอธิบายอยู่มันยืดยาว และเชื่อว่าผู้ปฏิบัติทั้งหลายเหล่านี้ คงจะผ่านข้อปฏิบัติมาแล้วพอสมควร ได้ศึกษาระเบียบข้อปฏิบัติมาอย่งโชกโชนแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายอะไรให้มาก ให้เสียเวลา จึงขอเชิญ ชวนพวกเรานั่งภาวนาเสียเลยดีกว่า ไหว้พระกันเสียเลย นั่งภาวนากันสักพักหนึ่ง นั่งกันเรียกว่าสามัคคีเสียหน่อย แล้วต่อจ่กนั้นเราก็เลือกเอาที่บำเพ็ญ ไปตาามจุดต่างๆ แต่สำหรับที่พักพวกเราก็คงจะมีที่พักกันพอสมควร ผู้ที่มีอายุหน่อยไม่อยากจะไปก็อยู่ที่ศาลานี่แหละ นั่งภาวนาตรงนี้แหละ นอนกัน ตรงนี้แหละเอากันสบายๆ นะ ต่อไปนี้ก็จะนำไหว้พระ สิ่งของก็เอาไว้ตรงนี้แหละ เตรียมตัวกันพวกเรา อาตมาก็เป็นพระป่า พูดไม่ค่อยจะเป็นกลัวเขาจะ หัวเราะ (หัวเราะ) ไม่รู้จะว่ายังไง เอา เตรียมตัวมีดอกไม้สวยงาม ท่านเห็นจะได้ชื่นชมโสมนัสกับเขาบ้าง เอ้า.. กราบ... กราบ... กราบ ฯลฯ.. |
|
กระดานข่าว |
อ่านสมุดเยี่ยม |
เชื่อมโยงกัลยานิมิตร
>> |
วัดเขาสุกิม สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2543 |
พัฒนาและออกแบบโดย
นายทวีศักดิ์ รัตนคม ติดต่อสอบถามได้ที่ webmaster@khaosukim.org และทาง msn ได้ที่ hs2wjo@hotmail.com |