การหักห้ามจิตคือ
การหักห้ามความรู้สึกของเรา ความรู้สึกของเราที่มีต่อสิ่งกระทบ
คือ เหตุการณ์ที่จะชวนให้เราเกลียด โกรธ รัก ชอบ ต้องการ ไม่ต้องการ จะชวนให้เราหัวเราะ
ร้องไห้ ความรู้สึกต่อเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ การหักห้ามเราก็ไม่ได้ไปหักห้ามที่ตรงไหน
ก็หักห้ามตรงที่ความรู้สึกนี่แหละ เราจะไปบำรุงตรงความรู้สึกนี้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญจึงไม่ได้มองจิตเป็นตัว ให้มองเห็นจิตให้ชัดว่า มันจะน้อมเอียงไปในทางให้โทษหรือคุณ
หากเมื่อประกอบด้วยโทษเราก็จะได้หักห้าม เมื่อประกอบด้วยคุณเราก็จะได้ส่งเสริม
โดยจุดประสงค์แล้วมีเพียงแค่นี้ เพราะฉะนั้นจึงขอเตือนบรรดาผู้ปฏิบัติทั้งหลาย
ขอจงดำเนินให้เป็นไปตามรู้นี้เถอะ ถ้าเราดำเนินให้เป็นไปตามรูปนี้ตรงกับเจตนาของผู้แนะนำ
ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่ตรงกับเจตนา
ทีนี้ถ้าเราเข้าใจว่าอย่างนี้เป็นเหตุเบื้องต้นแล้ว
เราจะได้ต่อไปว่าความรู้สึกของจิตที่รู้สึกต่อสิ่งกระทบที่เป็นปัจจุบันเหตุ
ที่กำลังปรากฎอยู่ก็ดี หรือความรู้สึกของจิตที่นึกตรึกถึงอารมณ์หรือเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วแต่อดีต
เกิดมีความรู้สึกขึ้นมาอย่างไรบ้าง เราจะใช้กำลังตัวอริยมัคคุเทศก์ หรือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี้สอดส่องพิจารณาให้เห็นว่า
ความรู้สึกอย่างนี้เป็นไปเพื่อความเศร้าหมอง ความรู้สึกอย่างนี้เป็นไปเพื่อความสะอาดหมดจด
อยู่ในระบบของธรรม และความรู้สึกอย่างนี้ เป็นอุบายวิธีหรือปัญญาของกิเลส
ที่จะนำจิตเข้าไปเชื่อมโยงต่อภพชาติ หรือเป็นการทอดสะพานหาภพชาติ ขอให้เราพยายามตั้งสติปัญญาคอยสังเกตุความเคลื่อนไหวของจิตนี้อยู่เสมอ
อย่าเผลอ อย่าประมาท เพราะอุบายของจิตที่จะนำพาเราเข้าไปสู่ภพนี้ ถ้าเราไม่มีสติปัญญาที่เรียกว่าอริยมัคคุเทศก์ที่เราสร้างขึ้นมาให้พอกับความต้องการแล้ว
หรือให้มีอำนาจเหนือจิตแล้ว มักจะเข้าข้างมันเสมอ อุบายมันลึกลับนัก บางทีเรานั่งสมาธิกันนาน
ๆ กิเลสมันก็หาอุบายแล้วว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้มันมีอันนั้น มีอันนี้จะต้องทำ
นอนเถอะ ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้อาจจะทำงานไม่ได้ จะง่วงนอนสัปหงกอะไรต่ออะไรก็แล้วแต่
อุบายอันลึกลับต่าง ๆ ที่ว่านี้ไม่ใช้ปัญญาญาณ เป็นอุบายของกิเลส ถ้าเราเกิดไปหลงไหลตามมันแล้ว
เป็นอันว่าเราจะต้องวิ่งตามหลังมันเสมอ ไม่มีทางที่จะออกก่อนมันได้ เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามดูให้ดี
ๆ อุบายต่าง ๆ อย่างอื่นอีกที่มันจะหาอุบายให้เราตามหลังมันนี้มีมากมายหลายอย่าง
เช่น บางผู้บางคนนั่งไป ๆ ก็เกิดนึกว่าเรานี้ดูเหมือนจะไม่มีวาสนาเป็นอริยบุคคลได้แล้ว
บุญน้อยวาสนาน้อย อาภัพบุคคลแล้ว อะไรเหล่านี้ ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม หันไปสร้างบารมีอย่างอื่นเสียเถอะ
หรือถอยหลังกลับบ้านเสียเถอะ ความรู้สึกอย่างนี้ไม่ใช่ปัญญาญาณ ความรู้สึกดังกล่าวนี้เป็นปัญญาของกิเลส
มันหาอุบายวิธีจะผูกมัดเราให้ติดอยู่ในโลก ถ้าเราเข้าข้างมันเมื่อไรก็เป็นอันว่าเราวิ่งตามหลังมัน
เชื่อมัน หลงภาพมัน อย่างนี้จึงจะเป็นเหตุให้เราไม่มีโอกาสที่จะทำลายซึ่งภพชาติของจิตได้เช่นเดียวกัน
หรือบางคนที่มีลูกหลานทำไปทำไป ก็นึกถึงหลานว่าเขาจะเป็นอย่างไรหนอ เขาจะอยู่สบายดีหรือเปล่า
หรือจะเจ็บป่วย เขาจะมีการทะเลาะเบาะแว้งกันหรือไม่ หรือมีความสามัคคี
แล้วมันก็หาอุบายวิธีหลบชวนให้กลับบ้านเสียเถอะ ออกพรรษาแล้ว ถ้าเราไปหลงเชื่อตามมัน
เราก็จะต้องวิ่งตามหลังมันไม่มีที่สิ้นสุด เพราะมันคอยหาโอกาสที่จะหลอกลวงเราให้ลุ่มหลงเป็นไปตามอำนาจของมัน
ถ้าเผลอยอมวิ่งตามหลังมันแล้วจะไม่มีที่สิ้นสุด ยกรูปเปรียบคล้ายกันกับม้า
ม้ามันวิ่งเร็ว ถ้าเราวิ่งตามหลังมัน เราก็ไม่มีทางที่จะวิ่งทันมันได้
มันก็ไปของมันเรื่อย ๆ เตลิดเปิดเปิง เมื่อไรถ้าเราสามารถขึ้นหลังมันได้
และจับบังเทียนของมันได้แล้ว เราจะบังคับให้มันไปทางไหนก็ยังพอไปได้ แต่ถ้าเรายังขึ้นหลังไม่ได้
เราก็ไม่สามารถที่จะบังคับให้มันไปตามเส้นทางที่เราต้องการได้ แล้วก็อย่าหวังเลยว่าเราจะวิ่งตามหลังมันมัน
เรื่องปัญญากิเลสนั้นมันลึกลับเหมือนกัน คิดดูซิ คนที่ปัญญาทางโลก ถึงแม้ว่าเขาจะคิดเรื่องอะไรจิปาถะ
ซึ่งเรามองเห็นแล้วว่าเขาคิดดีเป็นเลิศ ปัญญาโลกีย์แบบนั้นก็ไม่มีทางเหนือกิเลสไปได้
เพราะเหตุไร ก็เพราะว่าปัญญาของกิเลสมันเหนือกว่านั้นไปอีก จึงเป็นเหตุให้ผูกมัดสัตว์
หรือมนุษย์ให้จมติดอยู่ในโลก มีภพ มีชาติ อยู่ได้ ก็เพราะปัญญาของมันดีกว่าเหนือกว่าปัญญาโลกีย์ชนธรรมดา
มันลึกลับมากถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจว่าปัญญาของกิเลสนี้ฉลาดมาก
เราจึงต้องพยายามตั้งสติปัญญาคอยพยายามดักจ้องดูให้ดี ๆ เราอย่าไปเข้าข้างมัน
อย่างไปหลงภาพที่มันหลอน เพราะมันจะทำให้เราวิ่งตามันไม่มีที่สิ้นสุดดังกล่าว
เราต้องพยายามดักสังเกต ถ้ามีความรู้สึกเกิดขึ้นมาในรูปนี่คือสายใจของภพชาติใช่หรือไม่
มันเกิดมาอย่างนี้ทำให้เราเกิดปฏิฆะความคับแค้นใจหรือไม่ เราต้องใช้บทวิจารณ์และทบทวนเสมอ
เมื่อมองเห็นว่าเป็นไปเพื่อความเศร้าหมองเป็นไปเพื่อความต่อภพของจิต เป็นอารมณ์ของโลกธรรมดา
ๆ ซึ่งเป็นเหตุให้เราเกิดมาแล้วแต่ก่อน จนกระทั่งถึงปัจจุบันก็ตัวนี้เอง
เราก็ต้องตัดทันทีเลย เราอย่าไปเข้าข้างมัน อย่าไปไว้หน้ามัน ไม่เอา ฉันไม่ได้มุ่งหวังที่จะดำเนินให้เป็นไปในรูปนี้
อันนี้มันเป็นสายใจของภพ นำพาเราให้ได้รับความทุกข์ ไม่มีที่สิ้นสุด ก็เพราะความรู้สึกอันนี้เอง
เราก็ต้องทำลายเสียหมายความว่าระบบแบบนี้ เราไม่ชอบตัดทิ้ง เรียกว่ระบบเก่า
ส่วนระบบใหม่
ความรู้สึกใดโน้มเอียงเข้าไปทางธรรม เป็นไปเพื่อความเจริญด้านธรรม ส่วนด้านจิตใจก็เป็นไปเพื่อความสะอาดหมดจดเป็นไปเพื่อเอาชนะกับความรู้สึกว่ากิเลส
ๆ ความรู้สึกดังกล่าวนี้คึกคักขึ้นมา ต้องส่งเสริมหรือประคองรักษาไว้ให้คงที่
อย่าให้เสื่อม อย่าให้ถอย ถ้าเราทำได้อย่างนี้มีหวังว่าคนที่วิ่งออกก่อนเรานี้ไม่มีโอกาสที่จะแซงหน้าเราได้
เรามีโอกาสที่เรียกว่าจะขึ้นหลังมันแล้ว บังคับมันให้เดินไปตามเส้นทางที่เราต้องการ
เราจะไปไหนก็บังคับมันไปได้
เพราะฉะนั้นผู้บำเพ็ญทั้งหลายจงเข้าใจเถอะว่า
ปัญญาของกิเลสมันละเอียดมาก สุขุมมาก มันสามารถหลอกหลอนคนและสัตว์ให้มีภพชาติวกวนอยู่ในโลก
ผู้ที่อวดตนว่ามีปัญญาสักแค่ไหนก็ตาม หากในเมื่อยังมีภพ มีชาติ มีการหมุนเวียนเกิด
ๆ ตาย ๆ อยู่แล้วก็แสดงให้เห็นว่ายังไม่เหนือกิเลสหรอก ยังโง่อยู่ หากผู้ทำลายความรูสึกอันที่จะต่อภพ
ต่อชาติ ที่ทำให้เราได้รับความทุกข์นี้ได้ ผู้นั้นจึงจะเรียกว่าผู้ฉลาด
ฉลาดอยู่เหนือจิตตัวเอง ฉลาดเหนือกิเลส ไม่มีทางที่จะให้จิตของเราเข้าไปสู่ระบบของกิเลสได้
ประคองจิตของตัวให้เข้าสู่ระบบของธรรม เป็นความเจริญงอกงามเรื่อยไป ต้องเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นพวกเราผู้ประพฤติปฏิบัติ ขอให้เข้าใจว่ากิเลสมันละเอียดมาก
ความรู้สึกของจิตที่โน้มเอียงไปสู่ระบบต่าง ๆ ทั้งทางด้านกิเลส และด้านธรรมะ
ผลของสมาธินี้รู้สึกว่าผลจะปราฎให้ผู้ที่เป็นเจ้าของสมาธิที่ทำได้นี้ จะเปลี่ยนหน้ากันเสมอเหมือนกัน
รสชาติจะต้องเปลี่ยนไปไม่มีที่สิ้นสุด เราลองนึกดูก็ได้ เรานึกถึงพระพุทธเจ้า
พระองค์ทรงดื่มด่ำอยู่ในธรรม จนกระทั่งอายุขัยของพระองค์ พร้อมทั้งสาวกทั้งหลายของพระองค์ด้วย
ก็เช่นเดียวกันไม่มีใครถอนหลังออกมาเลย ก็เพราะเหตุไร ก็เพราะคุณค่าของสมาธิจิตนี้ดีมาก
วิเศษจริง ๆ รสชาติดีเลิศจริง ๆ สิ่งที่เรารู้เห็นก็เป็นสิ่งที่แปลกมาก
เป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดสามารถดำเนินเข้าไปสู่ธรรมได้
ท่านเรียกว่า อัจฉริยมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์อัศจรรย์ธรรมดา ๆ
โลกียชนธรรมดาสามารถคิดเรื่องอะไรต่าง
ๆ หรือดำเนินสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จได้ ในเมื่อคนอื่นทำได้ยาก
หรืออาจจะไม่สามารทำได้ เราเรียกว่าคนอัศจรรย์ แต่สำหรับผู้ที่สามารถประคับประคองจิตของตนเข้าสู่ระบบของธรรมได้
ไม่ให้เป็นไปตามระบบของกิเลสท่านเรียกว่า อัจฉริยมนุษย์ ซึ่งเป็นมนุษย์ที่มหัศจรรย์มาก
สูงยิ่ง
เพราะฉะนั้นพวกเราผู้ดำเนินทางด้านสมาธิจิต
จงพยายามสร้างสติปัญญาที่พวกเราสมมุติว่าตัว อริยมัคคุเทศก์ ให้มาก ให้ยิ่ง
ให้เหนือกว่าความรู้สึกของจิตที่มันจะเล็ดลอดเข้าไปต่อภพ พยายามสร้างขึ้นให้มาก
สร้างทุกอริยบท การเดินเหิน นั่ง นอน ยืน ทุกสิ่งทุกอย่างเราอย่าประมาท
เราต้องพยายามสร้างหรือจ้องคอยสังเกตจิตอยู่เสมอ ว่ามันจะเคลื่อนไปต่อเรื่องอะไร
เมื่อมันเคลื่อนเข้าไปแล้ว มันเกิดความคับแค้นใจไหม เดือดร้อนไหม เป็นไปเพื่อความเบียดเบียนผู้อื่นไหม
เบียดเบียนตัวเองไหม ต้องพยายามมองเสมอ ถ้าหากเป็นไปในรูปนี้ต้องทำลายทันที
ไม่เอา บอกว่าระบบนี้ฉันไม่เอาแล้ว เลิกแล้ว พอกันทีแล้ว ไม่เอาแล้วแบบนี้ไม่ใช่แล้ว
ฉันจะใช้ระบบใหม่
ฉะนั้นจึงขอให้พวกเราพยายามดำเนินให้เป็นไปในด้านธรรม
ต้องพยายามสร้างสติสตังให้ดี ๆ พยายามสร้างสติปัญญาขึ้นให้มากให้ยิ่ง เมื่อพวกเราดำเนินให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ควรแล้ว
ผลที่ได้รับของพวกเรานี้ต้องเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ไม่เสียทีที่พวกเราสละเวลามาบำเพ็ญ
ถ้าไม่เช่นนั้นจะเป็นการเสียเวลาเปล่า หรือการเสียสละเวลาของพวกเราที่มาดำเนินกันอยู่นี้
จะคุ้มค่าที่พวกเราเสียสละมา เพราะฉะนั้นจึงขอให้พวกเราตั้งอกตั้งใจทำให้ดีเถอะ
ถ้าทำให้ดี ทำให้ถูก เป็นไปในทางสัมมาสมาธิแล้ว ไม่ขาดทุน ไม่มีทางขาดทุน
ไม่เสียเวลาเปล่า ที่พวกเรามาบำเพ็ญในทางด้านสมาธิจิตอย่างที่อาตมาเคย
เคยนำมาเล่าสู่กันฟังเสมอ ๆ ถ้าการทำสมาธิจิตนี้ไม่ได้แล้ว พระพุทธเจ้าคงไม่ได้อยู่สอนพวกเราตลอดอายุขัยของพระองค์แน่
เพราะในสมัยที่พระองค์ยังทรงเป็นฆราวาสอยู่นั้นพระองค์มีความสุขมาก พระองค์คงจะถอยหลังไปหารับความสุขแบบนั้นอีกแน่
ๆ แต่นี่ต้องแสดงให้เห็นว่า ความสุขทางด้านสมาธินี้เหนือกว่า พระองค์จึงได้ทรงดื่มด่ำอยู่ในคุณค่าของสมาธิจิตนี้จนตลอดอายุขัยได้
พวกเราก็เช่นเดียวกันนั่นแหละ ถ้าหากว่าพวกเราทำได้ พวกเราก็จะดื่มด่ำอยู่ในคุณค่าของสมาธิจิตนี้จนตลอดอายุขัยของพวกเราไม่ถอยหลังแน่
เพราะฉะนั้น
ขอให้พวกเราผู้สมบูรณ์ด้วยเหตุผล จงเป็นผู้มีเหตุผลในตัวของตัวเองแล้วก็พากันเจริญทางด้านสมาธิจิต
ทดสอบทดลองเอาเองว่า ผลของสมาธิจิตที่เราทำได้นี่ ผลเป็นเหมือนองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านได้หรือไม่
ข้อสังเกตนั้นคือ ผลนั้นเป็นไปเพื่อการประหารกิเลส ผลนั้นไม่เป็นไปเพื่อการเบียดเบียน
ความรู้สึกนั้นเป็นไปเพื่อความเจริญทางด้านธรรมะ สิ่งเหล่านี้จะเป็นข้อพิสูจน์ให้พวกเราสังเกตได้
เพราะเหตุนี้จึงขอให้พวกเราจงตั้งอกตั้งใจพากันดำเนินให้เป็นไปในทางสัมมาสมาธิด้วย
ปัญญาอันนี้เป็นสุปัญญา จึงอุตส่าห์อธิบายถึงหลักที่พวกเราจะต้องดำเนินปฏิบัติให้เป็นไปตามแนวนี้
เมื่อพวกเราท่านทั้งหลายดำเนินให้เป็นไปตามแนวนี้แล้ว พวกเราก็จะมีความสุข
ความเจริญงอกงาม หรือเป็นไปในด้านสมาธิที่ถูกต้อง
พวกเราจงประคับประคองดำเนินไปตามสายทางปฏิปทาที่แนะนำมานี้
พวกเราก็จะมีความสุขความเจริญ งอกงามไพบูลย์ในบวรพุทธศาสนาและคำที่ว่ากิเลส
ๆ จะวิ่งออกหน้าพวกเรากิเลสทั้งหลายเหล่านั้นจะไม่มีโอกาสเป็นเจ้านายจิตใจของเราได้เลย
พวกเราจะได้ประคับประคองจิตของพวกเราให้ตกกระแสที่เรียกว่า อริยมัคคุเทศก์
หรือธรรม ให้เป็นไปเพื่อความเจริญงอกงาม
อาตมาภาพอธิบายมาก็ยืดยาวแล้ว ขอยุติเพียงแค่นี้
เอวัง ฯ
ณ
วัดเขาสุกิม พ.ศ. ๒๕๑๓