อัชเวะกิจจะมาตัปปัง
(ควรทำความเพียรเสียแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้)
จุดประสงค์จะให้ความเพียงเพื่อแสวงหาประโยชน์
จงเพียรในการละบาปเจริญธรรมที่ควรเจริญ ให้เป็นไปพร้อมทั้งกายและจิต บากบั่นให้คุณธรรมเพื่อการข้างหน้า
ทั้งเป็นคุณธรรมที่อาจฝ่าฟันอุปสรรคอันเกิดขึ้นในปัจจุบันเสียได้ ความสำเร็จประโยชน์ย่อมมีผลแผ่ไพศาล
ซึ่งคุณธรรมการกชนจะพึงรีบกระทำเสียแต่วันนี้ มีตนมีกิจธุระจะพึงทำโดยแท้
คำว่า
มาตัปปัง ในบาลนี้ มีนัยจะพึงบรรยายให้สองสถาน คือ เพียรแสวงหาประโยชน์อันเป็นไปในคติโลกอย่างหนึ่ง
ในทางคติธรรมนิยมอย่างหนึ่ง ข้อต้านได้แก่ความเพียรของผู้อยู่ครองเรือน
เรียกว่า อาฏะฐานะสัมปะทา การถึงพร้อมด้วยการหมั่นเพียร มีผลให้เกิดความกล้าหาญ
ไม่ย่อท้อต่อความลำบาก หลีกเลี่ยงเพราะความเกียจคร้าน ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก
ความเพียรเช่นนี้เข้าอุดหนุนกิจการใด ๆ กิจการนั้นย่อมไม่ถึงการทอดธุระเสียในระหว่าง
มีแต่ความดำเนินไปสู่ความสำเร็จโดยส่วนเดียว ผลนั้นที่ไดพึงถึงก็งอกงาม
สมควรแก่การกระทำของตน เป็นกิจที่ชนทั้งหลายทั่วไปปรารถนา เพราะเป็นเหตุอำนวยผลให้เกิดมีโดยเอนกประการฉะนี้
ส่วนคติธรรมนิยม
จัดความเพียรนี้ไว้อีกอย่างหนึ่ง เป็นทางไปของคน ๆ เดียวกันเอง
หรือเรียกว่าได้อีกประการหนึ่ง ประทานความเพียรไว้ ๔ สถาน คือ เพียรมีสติ
ระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นในสันดานของตน เป็นต้น บาปกรรมเกิดมาจากความรักและความชัง
รักต้องการอยากได้ ชังไม่ต้องการไม่อยากได้ ทั้งสองมาจากโมหะคือความหลง
ความรักเป็นไปในทางราคะ ความชังเป็นไปในทางโทสะ มาจากโมหะ คือ ความหลง
ทั้งสามเป็นไปหรือเชื้อของภพ ความจริงราคะ โทสะ โมหะ อยู่ที่จิต จิตจึงเป็นตัวก่อภพหรือจิตโง่
จึงเป็นเหตุให้อวิชชาห่อหุ้ม เมื่ออวิชชาห่อหุ้มได้ร้อน จิตที่ได้รับความร้อน
คือ โมหะจิต จึงเป็นเหตุให้ตัณหาอุปาทานผูกมัดจิตไว้อย่างแน่นหนา จึงเป็นเหตุให้ติดอยู่กับโลก
พระพุทธเจ้าจึงได้สอนให้ความเพียรเป็นกำลังอุดหนุนสติเข้าไปทำการชำระจิต
ที่ถูกผูกพันธนาการอยู่นี้ให้หลุดไป และเพียรพร้อมด้วยสติ ระวังอย่าให้กิเลสดังที่จะกล่าวมานี้ผูกมัดจิตได้อีก
นี้กล่าวโดยปุคคลาธิฏฐาน ถ้ากล่าวโดยธัมมาธิฏฐานแล้ว จิตที่โง่ก่อภพเอาเองโดยความโง่ของจิต
เพราะเหตุนั้นพระพุทธองค์จึงได้สอนให้มีความเพียรพร้อมด้วยสติ เข้าไปทำลายภพของจิต
และป้องกันจิตไม่ให้แสดงต่อภพ โดยมีความเพียรและสติเข้าไปห้ามความดีใจ
เสียใจที่แสดงออกมาจากจิตให้ได้ ความเพียรและสตินี้เมื่อสาธุชนอบรมไว้ให้มากแล้ว
ในวาระจิตจะเรียกว่าผู้ละสิ่งที่ไม่สาระประโยชน์ คือเหตุให้เกิดโทษทุกข์ทั้งปวงได้
ยึดเอาแต่สิ่งที่เป็นสาระประโยชน์ไว้
ดังเทศนาในจติกนิบาตอังคุตรนิกาย
ว่า อัตถังประวัชเชติ อัตถังคัณหาบัณฑิโต บัณฑิตย่อมละเว้นในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
คือเอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ตามนัยแห่งบาลีนี้ ได้แก่สาธุชนผู้ปรารถนาความเพียรในสภาพทั้งสี่
โดยอาการ ได้แก่ การกำจัดไฟภายใน และมีสติป้องกันไฟภายนอกไม่ให้เข้ามาภายใน
ประกอบตามกุศลจิต คือธรรมฝ่ายเย็นเข้ามาแก้ธรรมฝ่ายร้อน และมีสติตั้งมั่นเข้าไปชำระจิตให้หมดจดจากกิเลส
คือ กองไฟเสียได้ จึงเป็นจิตที่บัณฑิตจะพึงอบรมให้มาก สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสให้รีบกระทำเสียแต่วันนี้
เพราะพระองค์ไม่ทรงมั่นพระทัยว่าสังขารทั้งหลายที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้นนี้จะตั้งมั่นถาวรอยู่ได้นาน
ความแตกทำลายมันจะพึงปรากฏขึ้น ให้มีสติระลึกถึงความตายเร็วขึ้น เสมือนจะแตกดับเสียในขณะยังไม่ถึงวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้
เป็นอุบายแก้จิต เมื่อมันท้อถอยเพราะความเกียจคร้าน เนื้อความของกระทู้ธรรมนี้พระมหากัจจายนเถระ
เป็นผู้มีปฏิภาณเฉียบแหลม แล้วท่านได้ได้เอาอุบายอย่างนี้ และท่านก็ทำอย่างนี้
จึงเป็นเหตุให้สำเร็จพระอรหันต์ และท่านได้ให้แนวปฏิปทานี้แก่ผู้ปฏิบัติในสมัยนั้นอย่างนี้
จนได้รับความสรรเสริญจากพระบรมศาสดา และได้ทรงสถาปนาตำแหน่งเลิศในปฏิภาณสถานหนึ่ง
และท่านยังจัดว่าเป็นความเพียงของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ เป็นเหตุให้บารมีของพระพุทธเจ้าทุก
ๆ พระองค์บริบูรณ์ คิดดูชั้นต้นพระมหาบุรุษ เมื่อทำกิริยาก็ดำเนินอย่างนี้
จึงเป็นเหตุให้สำเร็จพระโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นในโลก แล้วนำเอาอุบายที่พระองค์ชำระจิตของพระองค์ด้วยอาศัยความเพียร
สติเข้าไปทำลายภพของจิต หรือดับไฟภายในจนไม่เหลือหลอ มาประกาศให้พุทธเวนัยทั้งหลาย
เพราะเหตุนั้น
ความเพียร พระองค์จึงจัดว่าเป็นมีอุปการะคุณ อุดหนุนให้ผู้ทำสมาธิเข้าถึงสมาธิที่
๑ - ๒ - ๓ จนถึงรูปฌาน ๔ ครูปฌาน ๔ จนถึงที่สุดภพได้เป็นผลอันพึงพอใจ ควรรีบกระทำเสียแต่วันนี้
จนกว่าจะสำเร็จความปรารถนา ถ้าคนใดทอดธุระเสียก็เป็นเหตุให้เกิดความท้อแท้ใจ
การงานย่อมคั่งค้าง ผลของการท้อแท้นั้นมีผลน้อย หรือไม่อำนวยผลเสียเลยก็เป็นได้
การกชนและภยันตรายรอบข้างของกิจการพระบรมศาสดาได้ประทานโอวาท ดังอธิบายมานี้
พระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย
พระอาจารย์สมชาย
ฐิตวิริโย
ได้เขียนไว้เมื่อ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๐๘