หลวงปู่สมชาย
ฐิตวิริโย ประธานสงฆ์วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี |
เรื่อง : ศึกษาให้เข้าใจแล้วก้าวไปสายทางยุคลบาท |
เราผู้ปฏิบัติจงพากันพยายามดำเนินพิสูจน์ให้ได้
แต่ขออย่าลืมอย่างเดียวว่า การปฏิบัติของพวกเรานี่ต้องพยายามดำเนินก้าวหรือเจริญรอยของพระอริยเจ้าให้ถูก
อย่าเข้าใจอย่าเผลอต้องศึกษาให้เข้าใจ อย่าทำด้วยความเดาสุ่ม ทำด้วยความลูบ
ๆ คลำ ๆ งม ๆ งาย ๆ อย่าไปทำอย่างนั้น ต้องศึกษาให้เข้าใจเสียก่อน ในวิธีเราจะก้าวหรือเจริญรอยตาม
ว่าเราจะก้าวอย่างไรจึงจะถูกรอยของพระอริยเจ้าที่ท่านก้าวเดินก่อนเรา เราต้องศึกษาเสียก่อน
เมื่อเข้าใจดีแล้วเราถึงก้าว แต่บางผู้บางคนหาเป็นเช่นนั้นไม่ ศึกษายังไม่ได้ความชัด
ต้องการก้าวนี่ ก้าวที่แรกเราจะก้าวไปแบบไหน ก้าวที่ ๒ ก้าวที่ ๓ เป็นลำดับไป
เราจะก้าวแบบไหน ก้าวของเราจึงจะเป็นไปในคำที่เรียกว่าเจริญรอยตามของพระอริยเจ้าที่ถูกต้อง
อันนี้เป็นสิ่งที่พวกเราควรคิดให้มาก และพวกเราจงตั้งใจศึกษาให้เข้าใจ ถ้าไม่อย่างนั้นจะงมงาย
ถ้าไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร ขอให้พากันฟังให้เข้าใจ แต่การฟังนี้ต้องกำหนด
ประมวลเท่าที่ท่านอธิบายสู่ฟัง วันนี้บางวันนั้นบ้างหลายวันประมวลกันเข้ามา
กิจสำคัญและอันสำคัญวิธีที่จะดำเนินคืออะไรบ้าง ให้มันชัดจริง ๆ เมื่อยังไม่ชัดอย่าลงมือทำ
ให้ชัดเสียก่อน ชัดแล้วถึงทำ เพราะว่าการกระทำถ้าเข้าใจไม่ถึง ทำไม่ได้ แม้แต่สิ่งที่เป็นอยู่ด้วยตา
ได้ยินอยู่ด้วยหู พิจารณาชัดแล้วด้วยใจ แน่นอนเหลือเกินการก้าว ๆ อย่างไรมันก็ต้องถูก
ถึงขนาดนั้นมันก็ยังก้าวไม่ค่อยออก เมื่อหากยังขุ่นมัวอยู่ มองยังไม่ชัดในสายทางที่จะก้าว
เมื่อขืนก้าวแล้วละก็หมิ่นต่ออันตรายมาก เพราะเหตุนั้น ผู้ปฏิบัติเมื่อหากไม่แน่นอนทำแล้ว จึงมักจะบ้าบอกันเยอะแยะไป เมื่อหากเข้าใจชัดดีถูกต้อง ก็ไม่มีทางบ้า เช่น ตัวอย่างครั้งสมัยพุทธกาล เท่าที่สังเกตดูแล้วในตำนานก็ดี หรือครูบาอาจารย์บอกเล่าก็ดี ไม่มีท่านองค์ใดจะบ้าบอเลยสักนิดเดียว ไม่มี เพราะสายทางที่พระพุทธเจ้าดำเนิน เป็นสายทางที่ไม่บ้าบอ แล้วทำไมปัจจุบันเขาจึงบ้ากันหละ นั่นจริงอยู่ สมัยปัจจุบันมันบ้าได้ เพราะว่าการเจริญรอยของพระพุทธเจ้าอาจจะไม่ถูกจริง อาจจะเป็นหลักวิชาที่แฝงมาจากทางอื่นบ้างหรือคาถารจนาจารย์ อาจจะแปลเคลื่อนคลาดบ้าง หรืออาจที่จะทำสมาธิจิต อาจจะเข้าใจไปต่าง ๆ นา ๆ ก็เขียนบทความไปตามที่ตัวเองรู้เห็นบ้าง ก็เลยเป็นเหตุให้เขาจากหลักเดิมของพระพุทธศาสนา กลายเป็นทางแพร่งใหม่ ๆ ที่ตนเองสร้างขึ้นมาให้คนอื่นเดิน โดยไม่ใช่เป็นทางของพระพุทธเจ้า และกลายเป็นทางซึ่งงอกมาใหม่ ๆ ซึ่งตัวเองถามเองเองอะไรทำนองนี้ เลยนำพาคณะของตัวเองดำเนินแล้วก็เขียนตำราเอาไว้ เมื่อตกมาสมัยปัจจุบันก็เข้าใจว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่แท้ที่จริงเป็นคำสอนของเกจิอาจารย์ที่แต่งขึ้น ตามที่ตัวเองได้รู้เห็นได้นำพาลูกศิษย์ของตัวเองทำ เช่น ตัวอย่างในสมัยปัจจุบันนี้ ครูอาจารย์ก็อยู่หลายแห่งกัน ต่างท่านต่างองค์ก็แนะนำสั่งสอนบรรดาศิษย์ของตัวเองหรือพวกของตัวเองให้ดำเนินตามี่ตัวเองได้รู้เห็น และยังเขียนบทความเป็นลายลักษณ์อักษรออกมา แล้วต่อไปครั้งสุดท้ายหละ ตำราอันนี้ใครเข้าใจหรือเปล่าว่าใครเป็นคนเขียน เลยกลายเป็นตำราของพระพุทธเจ้าไปหมด แต่แท้ที่จริงมันไม่ใช่ตำราของพระพุทธเจ้า เป็นตำราของเกจิอาจารย์ ที่นี้เมื่อหากเหตุผลไม่สมบูรณ์ผู้ดำเนินตามเป็นผู้มีสติปัญญาดี พิจารณาดูแล้ว เห็นว่าทำอย่างนี้ผลที่ได้รับคืออย่างนี้ ดำเนินไปแล้วผลที่ได้รับก็เห็นชัด ก็เลยมองเห็นว่าไม่คุ้มกัน อะไรในทำนองนี้ ผลที่สุดเขาก็เลยตำหนิพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้รู้ไม่จริง แต่แท้ที่จริงแล้วหาเข้าใจไม่ว่าตำรานี้ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า นี่ขอให้พิจารณากันมันเป็นอย่างนี้แหละ หรือพวกเราจะมองเห็นได้อย่างเขียนหนังสือปัจจุบันนี้ ต่างท่านต่างองค์ก็ต่างเขียนขึ้นไม่เห็นตรงกันเลยสักรายเดียว ไปคนละทิศคนละทาง คนละอย่างนั้น เพราะฉะนั้น จึงเป็นเหตุให้พุทธมามกในพระพุทธศาสนาของเราเข้าใจไม่ตรงกัน เขวกัน ภาคปฏิบัติก็ไม่เหมือนกัน การก้าวออกแต่ละก้าวออกไปนี้ก็ไม่เหมือนกัน ผลที่รับแล้วเมื่อเข้าไปคุยกันแล้วไปคนละทิศคนละทางคนละอย่าง ถึงขนาดบางคนสามารถที่จะติดต่อกับวิญญาณ ซึ่งจะเป็นเทพเจ้าก็ดีหรือก็ดีได้ ยังสามารถอัญเชิญวิญญาณของพระอรหันต์พร้อมทั้งพระพุทธเจ้ามาเข้าทรงก็ได้ อะไรต่ออะไรต่าง ๆ ไปกันใหญ่กันโต อันนั้นเขารู้เห็นกันอย่างนั้น เขาทำได้ไปอย่างนั้นก็มี บางคนเห็นผีรู้จักกระทั่งถึงโคตร ยกศักราชขึ้นมาพูดกันง่าย ๆ หมดเลย โอ๋ย..รู้สึกว่ามันไปกันใหญ่โตอย่างนี้ก็มี บอกว่านับไม่ถ้วน คิดดูหรือมองแล้วในอานิสงส์คือผลของการได้รับจากการปฏิบัติมันก็ผิดกันอยู่แล้ว การก้าวมันจะไม่ผิดกันอย่างไร การก้าวมันผิดกันนั่นแหละ ผลอานิสงส์การได้รับจึงผิดกัน แต่ในครั้งสมัยพุทธกาลไม่ เมื่อดำเนินเข้าไปผลที่ได้รับนั้นคืออะไร คือสิ่งที่ก่อกวนได้แก่กิเลสตัณหาและสิ่งที่มีพิษสงอยู่ในจิต บังคับจิตให้แสดงปฏิกิริยาต่อสิ่งกระทบ เป็นไปด้วยกำลังของความรักและชัง ซึ่งพวกเราทุกท่านก็มองเห็นอยู่แล้วชัด ๆ กำลังของตัวนี้ท่านเรียกว่าสนิมของหัวใจหรือว่าเจ้านายของจิตใจ ในนั้นอยู่ใต้อำนาจเขา เป็นทาสเขา สามารถกำจัดขี้สนิม หรือเจ้านายของจิตใจได้แก่กิเลสตัณหา ซึ่งเคยเป็นเจ้านายเก่าอันนี้สามารถทำการยุทธวิธีด้วยกำลังของพระธรรม ทำให้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นหมดกำลังลงได้ ผลสุดท้ายเมื่อท่านทำการปฏิวัติถึงที่สุดแล้ว จิตท่านมีอิสระเต็มที่ จิตนั้นย่อมเป็นไท เราเป็นเราเองไม่มีอะไรมาบังคับเราได้ เมื่อมองดูแล้วทั้งหมด เมื่อท่านดำเนินแล้วก็เป็นอย่างนี้ เป็นไปอย่างนี้กันทุกองค์ เท่าที่มองดูแล้ว จนถึงที่สุดอาสวักขยะวิชาของท่าน ก็เป็นอันว่าเจริญรอยเป็นไปในรูปเดียวกันหมด ก็ไม่เห็นสับสนอลเวงเหมือนอย่างสมัยนี้เลย นี่มันเป็นอย่างนี้แหละ เมื่อพวกเรามองเห็นอย่างนี้จึงเข้าใจชัดว่า ทำไมเล่าปัจจุบันนี้เมื่อทำสมาธิจึงปรากฏว่าทางโน้นบ้า ทางนี้บ้า บ้ากันซะหลายแห่งหลายหน บ้ากันเสียมากเสียด้วย เยอะไปหมด มันจะไม่บ้าได้อย่างไร เพราะการเจริญรอยดำเนินไม่ถูกทางของพระพุทธเจ้า เมื่อดำเนินถูกทางพระพุทธเจ้าบ้าบอไม่ได้ บ้ามันก็จะหายเสียอีก บ้าอะไร บ้าโลภ บ้าโกรธ บ้าหลง มันบ้ากันทุกคน ๆ เราถ้ายังไม่ถึงที่สุด คือยังไม่ได้อาสวักขยะวิชา ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็บ้ากันทั้งนั้น มันบ้าเพราะจิตมันรุนแรง บางทีก็หัวเราะ บางทีก็ร้องให้ บางทีก็ร้องเพลง บางทีก็บ่นครวญคราวพึมพำอะไรต่าง ๆ มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นคราว ๆ ที ๆ อย่างว่านั่นแหละ อย่างที่เราเห็นบ้ากันเสียจริง ๆ จัง ๆ มันทำอย่างไร แต่สำหรับพระอริยเจ้ามองเห็นคนธรรมดาก็เป็นอย่างนั้น คือ ไม่คงที่ บางทีก็อยากจะหัวเราะ บางทีก็อยากจะร้องให้ บางทีถึงขนาดร้องเพลงอย่างว่านั่นเอง บางทีก็บ่นครวญครางอะไรต่าง ๆ มองดูแล้วมันขึ้น ๆ ลง ๆ มันแล้วแต่อำนาจที่มาผลักดันจิตให้เป็นไปตามรูปของมัน มันเป็นอย่างนั้น เราก็มองเห็นได้ชัดกันอย่างนี้ เพราะเหตุนั้น พระอริยเจ้าที่จะกำจัดสิ่งที่เป็นมลทินออกได้แล้ว ท่านเองเป็นผู้มีประภัสสรเต็มที่ มองเห็นความเป็นอยู่ของจิตใจปุถุชน ย่อมสามารถจะมองเห็นได้ว่า จิตใจรั่วไหลไปอย่างนี้ จิตใจได้รับความเศร้าหมอง เกิดได้รับความทุกข์อย่างนี้ขึ้นมา เมื่อเป็นไปอย่างนี้ คือ ความสะอาดบ้างนิดหน่อยก็ได้รับความสุข หมายความว่า ความแน่นอนในจิตของปุถุชนไม่มี คำที่แน่นอนไม่มีควายหมายว่า ไม่เป็นปกติใด ๆ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ สูง ๆ ต่ำ ๆ อะไรในทำนองนี้ เมื่อท่านมองเห็นแล้วก็เท่ากันกับว่า ผู้ที่ยังไม่ถึงที่สุด ยังบ้าอยู่ บ้าอะไร ก็บ้าโลภ บ้าโกรธ บ้าหลง บ้ารัก บ้าชัง บ้าหึง บ้าหวง ทุกสิ่งทุกอย่างนี่แหละมันเป็นทั่ว ๆ กันไป ท่านก็มองเห็นได้ชัดอย่างนี้ เพราะเหตุนั้น เมื่อหากผู้ที่ทำสมาธิจิตดำเนินให้ถูกต้องไปแล้ว ย่อมสามารถจะกำจัดสิ่งเหล่านี้ได้ มันก็หมดไป ๆ เป็นธรรมดา อาสวักกิเลสตัณหา สิ่งที่เป็นสนิมของหัวใจที่กระทบออกหลุดเป็นลำดับ ท่านก็มองเห็นได้ชัด ไม่ใช่ท่านรู้แล้วมาพูด มันเกิดไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวกันขึ้น คนนี้เห็นอย่างนี้ คนนั้นเห็นอย่างนั้น คนนั้นเห็นอย่างนั้น ไปกันคนละเรื่องละราวคนละทิศคนละทาง ไปจนไม่มีที่สิ้นสุด อย่างนี้ก็หาใช่ไม่ แต่ตำราก็อาจจะพูดว่า ไอ้เรื่องการตรัสรู้ไม่เหมือนอะไรต่ออะไรต่าง ๆ สิ่งที่รู้เห็นไม่เหมือนกัน แต่แท้ที่จริงจะไปเชื่อตามตำราอย่างนี้เลยก็หาใช่ไม่ เพราะไม่สมควร เพราะการตรัสรู้เป็นไปในทางสายเดียวกัน ผลที่ได้รับเหมือนกับสถานที่จะต้องไปอาศัยของท่านผู้สำเร็จก็เหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่างบอกว่าเหมือนกันหมด เรื่องผลอานิสงส์ถึงแม้จะมีอะไรยิ่ง ๆ หย่อน ๆ การยิ่งหย่อนจะแสดงออกหรือไม่แสดงออกมันแล้วแต่ธรรม มันแล้วแต่วิสัยของท่าน แล้วแต่ความปรารถนาของท่าน แล้วแต่กำลังของท่าน มันเป็นอย่างนั้น อันนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับอานิสงส์คือความสุขนั้นเป็นบรมสุขอันเดียวกัน ไม่มีผิดแปลก เรียกว่าผู้เข้าถึงอันดับนี้แล้วเรียกว่าผู้เสมอไหล่เสมอบ่ากันไป ไม่มีใครยิ่งไม่มีใครหย่อนหละ ดีหละ กิเลสไม่มีเหลือซักตัวหละ หมดหละ สิ่งก่อกวนนะไม่มีแล้ว ทุกข์ไม่มีแล้ว ทั้งกายและจิต กายนั้นมีอยู่แต่ว่าใจไม่ยึด ความทุกข์ในทางกายมีอยู่แต่ไม่ยึด นี่เป็นอย่างนั้น ที่นี้สำหรับพวกเราผู้ปฏิบัติต้องพยายามศึกษาให้เข้าใจ แล้วดำเนินให้ถูกต้องตามร่องรอยหรือตามแถวทางของพระอริยเจ้า ที่ดำเนินอย่าได้เขวไปตามทางแพร่งใหม่ ที่บรรดาเกจิอาจารย์พากันสร้างขึ้นหลายแถวหลายขันธ์หลายทางประตู โอ้โฮ เดินดีก็ดี ไม่ดีก็ต้องแวะซ้ายแวะขวา เดินตรงต่อทางจริงไม่ถูก เพราะว่าทางแพร่งใหม่ที่สร้างขึ้นมันราบรื่นมันดี มีสิ่งประดับประดากัน อื้อฮื้อ มันน่าหลงน่าเพลิดน่าเพลินน่าเจริญน่าหลงไหล ไถลเข้าไปหาทางที่ผิดได้จริง แต่ทางแพร่งเก่านี้รู้สึกว่ามันไม่มีอะไรหลอกลวงเลย แต่ทางแพร่งใหม่นี้มันหลอกลวง เป็นเหตุให้คนโง่หลง แล้วก็อาจจะถลำไปในทางที่ผิดได้ เพราะฉะนั้นพวกเราต้องมองให้ดี ๆ ว่าทางไหนเป็นทางเดินแพร่งใหม่กันแน่ เมื่อพวกเราเข้าใจจริงและดูได้ชัดแล้ว พวกเราก็จะไม่หลง สิ่งทีก่อกวนได้แก่ อาสวกิเลส ก่อกวนไม่ให้พวกเราได้รับความสุข ไม่ให้พวกเราได้รับความสงบ อันนั้นสามารถที่จะกำจัดลงได้ด้วยอำนาจของพระธรรม และธรรมาวุธ ทำการยุทธวิธีการจะได้ชัยชนะ เราต้องจะพ้นจากทาส มาเป็นไทอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้น ขอให้พวกเราพุทธมามกะผู้ปฏิบัติทั้งหลาย จงพากันสำเหนียกและตั้งใจ ศึกษาให้เข้าใจแล้วก็ดำเนินก้าวตามสายทางคือยุคคลบาทของพระองค์ที่ก้าวไป ต้องเจริญรอยให้ถูกต้อง แล้วพวกเราทุกท่านก็จะได้ประสบผลอันล้ำค่า อานิสงส์ตอบสนอง เมื่อถึงที่สุดแห่งชีวิต พวกเราก็จะก้าวเข้าไปสู่อมตมหนฤพาน ได้สมปรารถนาโดยไม่ต้องสงสัย |
กระดานข่าว |
อ่านสมุดเยี่ยม |
เชื่อมโยงกัลยานิมิตร
>> |
วัดเขาสุกิม สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2543 |
พัฒนาและออกแบบโดย
นายทวีศักดิ์ รัตนคม ติดต่อสอบถามได้ที่ webmaster@khaosukim.org และทาง msn ได้ที่ hs2wjo@hotmail.com |