หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
ประธานสงฆ์วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี

เรื่อง : ตอบปัญหาธรรม

            จะรักก็ดี จะชังก็ดมันเป็นไปเพื่อความเศร้าหมองทั้งสองอย่าง มันเป็นไปเพื่อทุกข์เสียด้วย ที่นี้ความรู้สึกดังกล่าวนี้ ผมใช้อำนาจตัวธรรมกระตุ้นบังคับไม่ให้เป็นไปตามอำนาจของเหตุการณ์ หรือไม่ให้เป็นไปตามอำนาจของความรู้สึกของจิต พอผมกระตุ้นอยู่ ผมก็ใช้บทวิจารณ์ หากในเมื่อมันไปอย่างนี้กิเลสใช่ไหม มันไปอย่างนั้น จะเป็นไปเพื่อภพใช่ไหม เราจะต้องมีการเกิด จิตของเรายอมเชื่อว่าเป็นจริง เพราะอำนาจเหนือกันมันกดไว้ มันก็ต้องยอม อันนี้เป็นสิ่งที่แน่นอน
ทีนี้ผมจะยกรูปเปรียบหรือว่าเอาตัวอย่างเลยก็ได้ สมมุติอย่างสุนัขมันไม่รู้เดียงสา พอเราสะกดเราบอกมันเดิน มันก็เดิน เราบอกมันหยุด มันก็หยุด เราบอกมันหมอบมันก็หมอบ ในระยะที่ทำจิตตวิทยาทำไมทำได้แล้วเราทำจิตของสัตว์เดรัจฉานขนาดนั้นให้เป็นไปได้อย่างนั้น เราเอาอำนาจส่วนนี้บังคับจิตของเราให้เป็นไปอย่างนี้ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ขอให้คิดดี ๆ
            อย่างนอนยังงี้ ผมบอกว่าให้หลับ หายใจยาว ๆ ๓ ที ก๊อกไปเลยผม หลับนะฮะ ถ้าผมจะไม่หลับหละ ผมนอนท่าสีหไสยาสน์ คืนทั้งคืนผมจะต้องรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ผมฝึกถึงขนาดนี้ครับ
            ถาม….หลับในสมาธิใช่ไหมฮะ ?
            มันก็ไม่หลับครับก็รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้หลับ รู้ตัวตลอดเลย ใครมาใครไปใครเข้า แต่ก่อนผมนอนอยู่ที่ไหนก็ตาม ผมให้รางวัลพระเณร ถ้าองค์ใดเดินเข้าไปแตะหัวแม่เท้าได้ผมให้รางวัลครับ มีปากกาจำพวกไพรอตหรือปากกาดี ๆ นะครับ ผมตั้งใจเลย ถ้าสามารถเดินเข้ามาเตะหัวแม่เท้าผมได้ผมให้เลย จะนอนอยู่ที่ไหนก็ตามเมื่อไรก็ได้ สมัยก่อนผมทำแบบนั้น ผมเชื่อว่าเข้าถึงตัวผมไม่ได้
             เพราะเหตุไร คือหนึ่งสติของผมสมบูรณ์แล้ว ใครจะเดินเหินเข้ามาผมรู้ ผมรู้ ไม่มีใครกล้าแตะผมได้ เดินเข้ามาปั๊บผมลุกก่อนเลย แต่ก่อนเป็นอย่างนั้นครับ ที่ ๆ ผมฝึกอยู่ดี ๆ นาฮะ
            เพราะเหตุนั้น ที่ผมเล่าถวายทั้งหมด ผมก็ต้องการอยากจะให้สำคัญ กำลังตปธรรมของเราที่เราจะสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นกำลังที่จะผลักดันให้จิตของเรา หรืออบรมจิตของเรา หรือสอนจิตของเรา หรือกระตุ้นจิตของเราให้เป็นไปในระบบที่ควร คือธรรม เพราะว่ากิเลสมันกระตุ้นความรู้สึกของเราให้เป็นไปตามอำนาจกิเลส แต่ก่อนมาเราอาศัยอำนาจกิเลสมันกระตุ้นไปรัก ชัง อะไรก็ไปตามเรื่อง หรือจะพูดว่าโลกธรรม ๘ มันกระตุ้นเราไปก็ได้
            ต่อจากนี้ไปเราจะสร้างกำลังตัวนี้มากระตุ้นความรู้สึกให้เป็นไปตามระบบของธรรม เราต้องกำหนดธรรมวินัยเป็นใหญ่ ว่าการกระทำอย่างนี้เป็นไปเพื่อธรรม เพื่อวินัย ต้องทำอย่างนี้ครับ ไม่ขาดทุน ลองดูครับ ถ้าไม่เชื่อผม ลองดูครับ เพียงแค่นี้นะครับ ยังมีครูบาอาจารย์ดูถูกผมมาก ต่อมาทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติ ท่านทำเพียงแค่นี้ท่านจะได้ผลอะไร เพราะมันไม่ตรงแนวธรรมที่พระพุทธเจ้าทำ ผมบอกว่านี่แหละตรงที่สุด บอกว่าผมนี่กำหนดรู้แล้วว่าพระพุทธเจ้าดำเนินมาเบื้องแรกจากใครเป็นอย่างไร จนกระทั่งที่สุดที่พระพุทธเจ้าเป็นสยัมภู พระองค์ดำเนินกับใคร แล้วพระองค์แยกออกไปบำเพ็ญโดยวิธีไหน ผมบอกว่าผมรู้ครับ แล้วการกระทำเพียงแค่นี้ คุณค่ามหาศาล ผมบอกว่าเพียงแค่นักจิตวิทยา ไม่ต้องเอาอะไรหรอกครับ รู้แต่ว่าหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ๆ ๆ โดยจุดประสงค์ต้องการจะบังคับความรู้สึกให้รับรู้ในแก้วอย่างเดียวนาฮะ เขาดำเนินเพียงแค่นี้ เขาไม่ได้รู้อะไรมากมาย ทำไมเขาสามารถเอากำลังส่วนนี้ไปรักษาโรคบางอย่างได้ แล้วเรานี่เข้าใจอยู่แล้วว่ากำลังทั้งหมดเราจะรวมมาทำอย่างนี้ ๆ จนกระทั่วที่จะว่าจะทำลายกิเลส และรูปลักษณะกิเลสเราก็รู้แล้ว คือความรู้สึกของจิตที่จะเป็นไปเพื่อความเศร้าหมองทั้งรักและชัง มันก็กิเลสตัณหาอยู่ดี ๆ แล้ว ทีนี้เราจะเอาอะไรที่เรียกว่ากิเลสตัณหา ก็เอาอันนี้แหละครับที่เป็นกิเลสตัณหา แล้วเราจะแก้ไขอะไร ก็แก้ไขความรู้สึกของจิตที่มันมีความรู้สึกดังกล่าว เราเอากำลังส่วนนี้เข้ากระตุ้นไว้ก่อน แล้วก็ใช้บทวิจารณ์ด้วยครับ เพ่ง แล้วก็สอน จิตของเรามันก็ยอมรับ
            ถ้าเราทำได้อย่างนี้ ส่วนอื่นไม่ต้องบอกหรอกครับ ส่วนอื่น ๆ มีครูบาอาจารย์และมีพระบางองค์เคยมาว่าผม “เอ๊..อันนี้มันนอกเกินไปนี่” ผมบอกว่าไม่นอก มันไม่นอก “ถ้าอย่างนี้มันจะเป็นไปเพื่อฌาน เพื่อฌานได้อย่างไร” เขาว่าอย่างนั้น เขาว่า “พระพุทธเจ้า ก่อนจะเข้าฌาน เข้าฌานลงไปเรื่อย ๆ จนเสียงฟ้า เสียงปืน เสียงอะไรไม่ได้ยิน ใครจะเคาะหัว จับตัวไม่รู้ จึงเรียกว่าฌาน ฌานและก็จะรู้อะไรต่ออะไรได้ดีตลอด ระลึกชาติหนหลังอะไรต่ออะไรก็แล้วแต่ จะไปรู้อยู่ในจุดนู้น แค่นี้มันจะไปรู้ได้อย่างไร ?”
            ผมบอกว่า รู้ซี่ รู้ เขาถามผมว่าท่านรู้อะไร บอกว่าอยู่ด้วยกันซี่ จะแสดงให้ดู อันนี้เป็นเรื่องจริงเสียด้วยนะครับ เพียงแค่นี้ รู้ครับแปลกจริง ๆ ผมอยากจะนิมนต์ให้ท่านทำฮะ อยากจะนิมนต์ท่านทำให้ดีครับ ลองดูครับ ไม่มีอะไรมาก แค่นี้ขอให้มันทันกันเถอะน่า ความมหาศาล รู้ถูก รู้ผิด ทำอย่างนี้ประกอบด้วยโทษทำอย่างนี้ ประกอบด้วยคุณ การพูดอย่างนี้กระทบกระเทือนจิตใจคนอื่น การกระทำอย่างนี้เป็นการกระทบกระเทือนคนอื่น สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนอื่น สัตว์อื่น มันเข้าใจและมันห้ามปรามจิตของเราได้ ไม่ให้พอใจในการกระทำและคำที่พูดอย่างนั้น นี่มันได้จริง ๆ
             แล้วต่อจากนั้นไปสิ่งที่รู้อื่น ๆ อีก แหม..ผมอยากจะให้ลองดูครับ ลองดูแล้ว เราจะรู้เองหรอกครับ รู้พิสดาร แต่เราอย่าหลงไหลในสิ่งที่เรารู้ก็พอ ตลอดสิ่งที่ได้ยินอย่างที่ผมว่า เขาพูดเรื่องอะไร อยู่ที่ไหน ถ้าเราอยากจะฟัง บอกว่าไม่ต้องพูดหรอกครับ ขอให้ทำเถิดครับ ขอให้ลองดูครับ ให้ลองดู
             “ตอนนี้กระผมก็ใจมันก็อยากบวชให้นาน ๆ แต่ว่ากระผมยังไม่มีสิ่งที่ผลักดันให้กระผมทุ่มเทจนสุดชีวิต ใจหนึ่งกระผมก็บอกไม่ถูกครับ ตอนนี้มันต่อสู้กันอยู่ ทีนี้กระผมคิดว่าได้บทเรียนอะไรบางอย่าง ที่มากระตุ้นใจผมให้เห็นจริง เห็นจังแล้ว กระผมคงไปได้ นี่ตอนนี้สำคัญมากครับ ฦ” ผู้ถามพูด
             จริงครับ อย่างนี้จริง ท่านพูดถูกครับ อาจารย์ทิวา ท่านก็พูดแบบเดียวกัน คือว่าท่านตกลงไม่ได้ ถามว่าตกลงไม่ได้เพราะเหตุไร ถ้าจะตกลงก็เสียดายตำแหน่งหน้าที่ เสียดายการงานที่กระทำอยู่ ทีนี้ถ้าเผื่อหากว่าบวชลงไปจริง ๆ นะครับ ถ้าผลของการบำเพ็ญไม่เป็นผลที่เราได้รับ ซึ่งคุ้มค่าที่เราเสียสละ ถ้าเราเกิดมาถอนตัวทีหลังอาจจะทำให้เสีย อันนี้ท่านก็ว่าอย่างนี้
            ผมว่าท่าน คุณธรรมที่พระพุทธเจ้าได้นี่ท่าน พระพุทธเจ้าเป็นลูกชายใหญ่ของกษัตริย์ท่านรู้หรือเปล่า ท่านบอกว่ารู้ ความสุขของสิทธัตถ กุมาร ท่านรู้ไหมในครั้งสมัยเป็นฆราวาส รู้แล้วในเมื่อสิทธัตถกุมาร แล้วทำไมสิทธัตถกุมาร หากในเมื่อได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว สิทธัตถกุมาร ไม่ออกมาเสวยผลอย่างที่เป็นมาตั้งแต่ครั้งสมัยยังเป็นฆราวาส ท่านเข้าใจว่าอะไร ท่านบอกว่า “คุณธรรมที่ท่านได้ดี”
            เพราะฉะนั้นอย่างที่พวกเราดำเนินอยู่นี้ คุณธรรมอันนี้ ถ้าเราเข้าไปถึงแล้ว แค่เรานี่ไม่มีทางที่จะถอยหรอก ดื่มด่ำกันทั้งนั้น ท่านบอกว่า “จริงรึ” จริง เอาซี่ บอกว่าผมเองนี่ ถ้าผมไม่เห็นคุณธรรมอย่างนี้ผมไม่อยู่ จ้างผมก็ไม่อยู่ผมออกแน่ เพราะผมในเรื่องอาศัยคนอื่น ผมไม่มีนิสัยเลย คือว่าการประทังชีวิต หรืออาศัยคนอื่นผมไม่มีนิสัยหรอกครับ ผมเป็นคนที่มีนิสัยให้คน ท่านดูซิครับ นิสัยผมดูเอาเองครับ ตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาสมาเลย ขึ้นชื่อว่าไปพนมมือขอคนที่หายากครับ นอกจากผมจะต้องดิ้นรนไปด้วยสติปัญญาตามกำลังของผมเองได้มาแล้วเฉลี่ยให้คนอื่น นั่นเป็นนิสัยที่แท้จริงของผมครับ เชิญคนเฒ่า เชิญคนแก่มาเอาอันนู้นมาเอาอันนี้มา เพราะทางนู้นมันก็มักจะอดอาหาร เราได้อันนู้นนิด อันนี้หน่อยมากระทำ เชิญคนเฒ่า เชิญคนแก่มารับทานสบายใจครับ นิสัยของผม จนกระทั่งผมเป็นพระทำไมผมทำบุญให้ทานบริจาคอย่างที่ท่านเห็นนี่แหละครับ ทำไมทำอย่างนั้น ผมมันมีนิสัยเดิมอยู่แล้วอันนี้มา เพราะฉะนั้นวิสัยอะไรที่ผมจะมาอาศัยเลี้ยงชีพกับคนอื่น เป็นสิ่งที่ผมไม่มีนิสัยเลย อันนี้ผมอายครับ ถ้าผมไม่มีคุณธรรม ผมจะกล้าไปบิณฑบาตในบ้านได้หรือ ผมอายครับ
            “ผมก็รู้สึกยังไง ๆ อยู่เหมือนกันครับ เราก็มีวิชาอาชีพพอที่จะเลี้ยงตัวได้ ทำไมเราจะต้องมาขอเขา”
            นี่เหมือนกันครับ สิทธัตถกุมารก็มีความรู้สึกตั้งแต่สมัยยังไม่ได้ตรัสรู้ธรรมนี่นะครับ มีความรู้สึกเหมือนกันครับ ตลอดนึกถึงยโสธรา ผู้มีรูปโฉมอันโสภา พระองค์ก็นึกถึง คิดถึง แล้วก็บางทีก็นึกถึงอาหารอันโอชาปราณีต ที่ยโสธราพร้อมด้วยสนมกำนัลใน ที่นำมาถวายให้เสวยในเวลาอันควร นึกถึงเสมอ พระองค์ท้อพระทัยจะถอยเหมือนกัน แต่เมื่อพระองค์ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีทางหรอก ถอยไม่เป็น แล้วสาวก สาลิกาของพระพุทธเจ้า กษัตริย์ก็มีครับ แล้วก็จำพวกมหาเศรษฐีก็มี กคุมภีก็มี คฤหบดีก็มี พราหมณ์ก็มีครับ ทุกวันเลยครับที่เข้าศึกษาธรรมในสำนักของพระพุทธเจ้า ทุกคนเลยครับ ตั้งแต่ขอทานมาเลย เมื่อผู้ใดดื่มด่ำเข้าไปสู่ธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วไม่มีถอยสักรายเดียวครับ ลองคิดดูซิครับ
            เพียงแค่ลูกชายของพระเจ้าแผ่นดิน เช่น พระเจ้าพิมพิสาร ยุให้ลูกไปฟังธรรม จนจ้างอย่างนี้ครับ ให้ไปฟังธรรม เอ๊...ผมเหมือนจะเข้าใจผิด ดูเหมือนจะเป็นลูกของอนาถบิณฑิกระมังครับ จ้างให้ไปฟังธรรมพระพุทธเจ้า ถ้าไปฟังให้รางวับ ต่อมาให้จำนะฮะ ให้จำมาเล่าให้ฟังจะให้รางวัล ผลสุดท้ายพอฟังเข้าอกเข้าใจแล้วนะฮะ จิตใจมันเป็นไป เอาเงินให้ไม่เอาเลย พอเลยเกิดอัศจรรย์เลยนำมาหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่าอันนี้มันอริยทรัพย์ อันนั้นมันโลกียทรัพย์ มันแลกกันไม่ได้ เขาผู้เข้าถึงธรรมขนาดนี้ เขารู้แล้ว เขาไม่เอา
            ผมเองก็เหมือนกันนะครับท่านมองเถอะครับ อย่างผมนี่ครับ มองดูดี ๆ ครับ ว่าจิตใจของผมจะแค่ไหนนะฮะ แล้วความเป็นอยู่ของผม ตลอดสติปัญญา อะไรต่ออะไรต่าง ๆ ท่านดูเองครับ แต่ว่ารูปของผมแค่รูปนะฮะ แต่ท่านต้องมองดู มองดูส่วนภายใน แล้วถ้าผมไม่มีอะไรเป็นเครื่องอยู่ผมจะอยู่ได้ไหมฮะ ลองคิดแค่นี้ก็แล้วกัน ผมจะอยู่ไปทำไมครับ อันนี้แสดงให้เห็นว่าผมจะต้องมีอะไรเป็นเครื่องอยู่ของผม ขอให้คิดอย่างนี้
             “ผมก็นึกอัศจรรย์ใจท่าน ว่าแหมไม่รู้สิ่งใดที่ดลบันดาบให้เป็นไปอย่างนี้ ท่านจะต้องมีอะไรพิเศษ เหนือพระทุก ๆ องค์ที่เคยเห็นมา” ผู้ถามพูด
            ผมไม่เพียงแค่นี้ด้วยฮะ เจ้าหน้าที่ก็รบกวนเพื่อนฝูงก็ด่าว่าเหลว ๆ แหลก ถ้าหากผมไม่มีอำนาจใด กระตุ้นความรู้สึกผมให้อยู่ในอำนาจของตปธรรมที่เราสร้างขึ้นมาแล้วนะฮะ ผมนี่เหลวแล้วครับ อยู่ไม่ได้ครับ ถูกคนดูถูกเหยียดหยาม ยิ่งผมเป็นลาวเป็นกาวด้วยครับ มาตกอยู่อย่างนี้ด้วยครับ โอโห..ลาวนะครับเป็นคนที่ถูกเหยียดหยามแล้วก็หวั่นอยู่ตลอดเวลาครับ เพราะอยู่ในภูมิภาคที่แห้งแล้งบ้าง อะไรต่ออะไรหลายอย่าง สิ่งแวดล้อม พอมาตกอยู่อย่างนี้เขาว่านาครับ อดอยากบ้าง ทางโน้นไม่มีอะไรจะกินบ้าง พอมาถึงที่นี้หลงเงาะหลงทุเรียนบ้างอะไรต่ออะไรต่าง ๆ อยู่นี้ติดรสอาหารบ้าง แล้วแต่เขาจะว่านาฮะ แต่แล้วทำไมผมถึงเฉยต่อสิ่งทั้งหลายได้ คุณธรรม กระตุ้นความรู้สึกของจิตให้อยู่ในอำนาจของคุณธรรมอันนี้ครับ คุณธรรมอันนี้สามารถให้ผมมีความรู้พิเศษอันหนึ่งครับ เกิดขึ้นมาเองครับ เขาเรียกว่าญาณชนิดหนึ่งครับ นี่ครับผมอยู่ได้ด้วยอย่างนี้
             ถ้าจะพูดอีกอย่างหนึ่ง น่าบ้าตายนะฮะ ผมนะฮะ คนกวนก็กวนครับ โอ้โฮ นี่ครับมาข้างกุฏิผมนี่ ไม่รู้มันมาฆ่าหรือจะมาอะไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวก็โผล่เข้ามา ๆ เดี๋ยวก็โผล่เข้ามา ผมก็นั่งดู เอาซี่จะแค่ไหน หมู่พวกเพื่อนฝูงก็มานั่งเป็นสักขีพยาน ขึ้นมานั่งเป็นพวกฝูงเพื่อป้องกัน ผมก็มอง ๆ ผมก็มีอยู่อย่างเดียวว่าเรื่องตายเป็นเรื่องเล็กสวรรค์นิพพานเป็นเรื่องใหญ่ ผมเฉยจริง ๆ นะครับ ผมไม่มีหวาดหวั่นครับ ผมอยู่เฉย ๆ จนเขาทำอะไรผมไม่ได้ เขาเลิกไปแล้ว ทางเจ้าหน้าที่รุมผมอีกครับคราวนี้ ตำรวจก็พอตำรวจเลย ทหารก็พอทหาร เอย ถ้าผมไม่มีคุณธรรมกระตุ้นความรู้สึกของผมให้พอใจในธรรมแล้ว ผมบ้าตายแล้วครับ นอนไม่หลับหรอกครับ ผมบ้าตายแน่ครับ ไหนจะเสียดายชีวิต ไหนจะเสียดายเกียรติศักดิ์ศรี เพราะคนดูถูกลงโทษ แต่แล้วผมไม่มีอะไร ผมวางได้หมด ผมเฉยไม่มีอะไรจริง ๆ ทีนี้ผมถึงปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูก
             เพราะฉะนั้น ผมอยากจะอาราธนานิมนต์ท่านพร้อมด้วยครูก็ดีแเละเถ้าแก่ก็ดีให้ลองสังเกตดูให้ดีปฏิปทาที่สอน ลอง ๆเอาไปดำเนินนะฮะลองดูครับ ไม่เชื่อผมลองดูครับ ผมสอนไม่สู้จะมากมายหรอกนิดเดียว คือผมจะย่นความข้อปฏิบัติเข้ามาให้สั้นครับ เพื่อความสะดวกในการฟัง เพื่อความสะดวกในการบำเพ็ญ ถ้าไปพูดเยินเย่อจนจับจุดไม่ได้ผมไม่ชอบ ผมฟังคนอื่นพูดผมก็ไม่ชอบ พูดจนอะไรเป็นอะไรไม่รู้เรื่อง ผมไม่เอาหรอกครับ ฟังแล้วมันอกจะระเบิดครับ หาจุดรวมไม่เจอ
            “ฟังแล้วรู้สึกมันกว้างขวางจนท้อใจ” ผู้ถามพูด
ครับมันท้อใจครับ อันนี้ให้เราเอาง่าย ๆ เถอะครับ นี่ผมเทียบให้ได้ง่าย ๆ อย่างจิตวิทยาผมก็เคยทำมาฌานฤาษี เขาเรียกว่าฌานโลกีย์ ผมก็เคยทำ ดุจนัยเดียวกันนั่นแหละครับ คือว่ามีการเพ่งเหมือนกันครับ
            สรุปแล้วก็คือกระตุ้นความรู้สึกของจิตให้รับรู้ในวัตถุอันหนึ่งเหมือนกันครับ อันนี้เรากระตุ้นความรู้สึกของเราให้รับรู้อยู่ที่ปลายจมูกหรือจุดใดจุดหนึ่งเช่นกันครับ สร้างกำลังตัวเดียวกันขึ้นมา แต่ว่าเอากำลังตัวนี้ไปใช้คนละอย่างกันเท่านั้นแหละครับ ถ้าเราเอากำลังตัวนี้มาใช้ประกอบกับจิตนาฮะ หรือมาใช้กับอาการกิริยาทั้งหมดพยายามจัดแต่งให้เหมาะสม เพราะเหตุไร เพราะความรู้สึกของจิตที่ออกมา มันสามารถที่จะสั่งอาการนี่ให้เคลื่อนไหวไปตามอำนาจของมันใช่ไหมฮะ กิริยาอาการที่ออกมามันออกมาจากจิตหยาบก็ดี ละเอียดก็ดี ออกมาจากนั้น เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่ออกมาไม่เหมาะสมจะเอากำลังส่วนนี้กระตุ้นเลย แต่ง แต่งหมดครับ ตลอดคำพูดของเราก็เช่นกัน เราต้องพูดให้อยู่ใน เขาเรียกว่าวาจา ๔ นาฮะ ปิยวาจา เป็นวาจาที่อ่อนหวานพอสมควรเหมาสมกับเพศ วัย ฐานะ แล้วก็สุภาสิตวาจา ไม่กล่าวโปรยประโยชน์ เป็นสุภาษิตหรือเป็นมงคลนะครับ แล้วก็สัจจวาจา กล่าวจริงเท่าที่เรารู้เท่าที่เราเห็น ไม่เกินกว่ารู้และเห็นจริง สัมมาวาจา กล่าวชอบด้วยเหตุผล ทั้ง ๔ ฐาน เราต้องญัตติเข้าเลยครับ ไม่ได้เลินเล่อไม่ได้เผลอตัวครับ ใครถามอะไร สิ่งที่เรารู้เราก็บอกว่ารู้ สิ่งที่เราเห็นก็บอกว่าเห็น เราพูดพอดี ๆ กับเพศ วัย ฐานะ ไม่ผาดโผนจนเกินไป คุณธรรมของเราแค่นี้ เราก็พูดแค่คุณธรรม อันนี้เรียกว่าผู้ที่รักษาวาจาได้
            ส่วนจิตใจของเรา เหตุการณ์ที่จะกระตุ้นให้เป็นไปตามความรู้สึกของมันเราก็ใช้อำนาจตัวนี้เข้าประหัตประหารและกางกั้นไม่ให้เป็นไปครับ เมื่อสามารถทำได้อย่างนี้มันมีความรู้ขึ้นมาเอง มันน่าอัศจรรย์นาครับ ถ้าหากว่ามันเป็นชวน ความไวของมันแพล็บ ๆ สามารถกระตุ้นไว้ได้ตลอดเวลา ความรู้ของจิตที่มีสิ่งใดมากระทบ แปร๊บเดียว จับได้ติดมือเลยครับ แปร๊บเดียวรู้เลยครับ รู้เรื่องอะไร สมมุติว่าอย่างคนที่มาหาเรานี่ อย่างท่านคำพัน ท่านคำพันเคยสืบประวัติผมนะครับ เป็นสักขีพยาน สิ่งใดที่มีสักขีพยานสิ่งนั้นผมพูดให้ฟังได้ มีคน ๆ หนึ่งชื่อพิมพ์ นี่ถามได้เลยครับ อยู่บ้านส่องดาวครับ จะออกเดินทางมาหาผม เขาก็บอกว่าอาจารย์นี้เชี่ยวชาญในการตอบปัญหานี่ดีนักจะเก่งแค่ไหน ท่านอาจารย์ทร เจ้าคณะตำบลนะฮะ ท่านองค์นี้เกลียดพวกเราครับ แล้วก็อยากจะให้เอาปัญหานี้มาถามให้ติดบางอย่างนี้ครับ ก็เขียนมาเลยครับ ๔ ข้อ เขียนมาแล้วก็ใส่กระเป๋าให้โยมบอกว่าไปถึงก็ถามนะ อาจารย์พิมพ์พอไปถึงผมนะฮะ ผมเตรียมต้อนรับไว้เลยครับ คือตอนนั้นจะมา ๒ หมู่บ้านด้วยกัน ผมบอกว่าวันนี้มา ๒ หมู่บ้านนะ เอาเสื่อมาปู แล้วก็หาน้ำ หาอะไรด้วย และมีปัญหาสำคัญด้วย เพราะฉะนั้น พวกเราต้องทำให้ดี (๑) ถ้าเราทำที่ให้สะอาดสะอ้าน (๒) การต้อนรับขับสู้ของเราดีให้มันเป็นการข่มทิฏฐิมารนะฮะ ทีนี้ถ้าหากเราทำไม่รู้เรื่องรู้ราวมันอาจจะคนอง เพราะเรารู้ว่าปัญหามาแล้ว พอมาถึงปุ๊บนะครับ ผมตอบทันทีเลยครับ ข้อที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ผมตอบก่อนเลยครับ ยังไม่ได้ถามเลย พอผมทักเสร็จเรียบร้อยผมก็ตอบเลยครับ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องถามหรอก ผมก็บอกอย่างนั้น นี่ปัญหาอยู่ในกระเป๋าเอาออกมาดูซิ ทำไมผมรู้ แว๊บเดียวผมจับคามือเลยครับ แค่นี้แหละครับ
             แล้วอีกนัยหนึ่งนะครับ ญาติของคุณคำพันนี่นะครับ ญาติของคุณบุญสองนี้ด้วย ถามดูได้ ชื่อฮุม นะฮะ ตอนนั้นยังไม่บวชผมบอกว่า ฮุมวันนี้ไปบัณฑบาตด้วยกันนะ เดี๋ยวเอาผ้าอาบไปด้วย เขาถามว่าเอาผ้าอาบไปทำไม ก็เขาจะบังสุกุลให้อย่างไรเลา เขาถามบังสุกุลให้ตรงไหน ตรงต้นกระบกนั่นแหละ ผมก็เดินทางไป ผมก็ชี้ด้วยว่าเขาจะวางตรงนี้นะ เขากลับมา ๆ เอาตรงนี้แหละ พอดีผมไปถึงบ้าน บิณฑบาตเสร็จเดินมา เดินมาถึงนั้น เขาวางไว้พอดีเลยครับ ผ้าไตร แล้วก็มีสิ่งของเขาก็ห่อเอามา เขาจับไม่ถูกครับ พอเห็นแค่นั้นเขางงเลยครับ เขางงเลย อันนี้เพราะเหตุไร คือว่าเขาจะมาบังสุกุลความรู้สึกของเขาต้องนึกถึงผมแล้ว แพล็บคล้าย ๆ กับว่ามันช็อตกันแพล็บ จับแพล็บ มันเกิดได้โดยที่เราไม่ต้องไปอ่านอะไรมาก แพล็บเดียวครับรู้ตลอดหัวตลอดหางอะไรเป็นอะไร
             นี่ฮะ สามารถที่จะบอกเขาได้ เขาจะบังสุกุลตรงนี้ คือคนนั้นจะมาบังสุกุล แล้วก็ของที่จะบังสุกุลนี่คือ อันนั้นกับอันนั้น แล้วก็อันนั้น ให้คุณเอาไว้นะ เวลาบวชก็ขอให้เป็นสมณะบริขารไป ผลสุดท้ายจริงอย่างว่าทุกอย่าง เขาก็งง อันนี้ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ได้ ก็เพียงแค่เอากำลังส่วนนี้ประคองจิตนะฮะ ไม่ให้โน้มเอียงไปในทางรักและชัง ไม่ให้เป็นไปตามสิ่งกระตุ้น สิ่งกระตุ้นคือเหตุการณ์ เราสามารถประคองไว้ให้อยู่ในอำนาจของตปธรรมมันเฉยนิ่ง พออะไรกระทบแปร็บจับได้ทันทีเลยครับ อะไรเป็นอะไร คล้าย ๆ กับเถ้าแก่นั่งเฉย ๆ เด็กมันเอาเรื่อยไปเรื่อยกร๊อกแกร๊ก เกิดความรู้สึกว่าเดี๋ยวเรื่อยจะหัก แป๊ะ เกิดความรู้สึกอย่างนั้น
            “อันนี้ผมเคยเป็นครั้งหนึ่งครับ ผมก็ไม่ได้เข้าฌานเข้าอะไรนาครับ ปั๊กเข้าหัวใจ ก๊อก ปั๊ก เข้าหัวใจเลย” เถ้าแก่พูด
             นี่อาตมาก็เหมือนกันนั่งรถมาดี ๆ นี่นะ อาตมานั่งเกิดวุบขึ้นมาทันทีเลย เอ๊..รถคันนี้ไม่ปลอดภัย พอบอกว่ารถคันนี้ไม่ปลอดภัย อาตมาก็บอกเลย บอกคนที่ขึ้นอยู่ในรถ คนของเราเองนะ ที่ฟังกันรู้เรื่องกระซิบบอกว่า ให้ระมัดระวังหน่อยนะ รถคันนี้วันนี้ไม่ปลอดภัยแค่นี้เอง แต่ที่นี้เถ้าแก่ อาตมาไม่ลงไปฉันจังหันนะ เขาฉันจังหันอาตมาก็ไม่ลง อาตมานั่งสมาธิของอาตมาเรื่อย อยู่ตลอด เพื่อคุ้มครองและอธิษฐานขอให้บรรดาพวกเราที่ไปด้วยกันจงปลอดภัย บอกว่าข้าพเจ้าจะประกาศพระศาสนา ข้าพเจ้าจะขอเป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพเจ้าขอเป็นทาสพระพุทธ ข้าพเจ้าขอเป็นทาสพระธรรมพระสงฆ์ ข้าพเจ้าจะขอกระทำสิ่งใดที่เป็นการยกย่องพระพุทธศาสนาหรือเทิดทูนพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นขอให้ข้าพเจ้าจงรอดพ้นและขอให้พวกของข้าพเจ้าจงรอดพ้น พอลงรถแพล็บวิ่งไปนิดเดียว โครม ชนกันเลย มันเป็นอย่างนี้นะ แพล็บเลย มันเป็นของแปลก
             เพราะเหตุนี้แหละท่าน ขอให้ท่านเอาไปลองคิดนะฮะ ไม่ต้องอะไรมากหรอกครับเอาสั้น ๆ แค่นี้แหละ ไม่ต้องไปเอาอะไรให้มากนักหรอกครับ แค่นี้พอครับ พอเลยทีเดียว ลองดูซิครับ เมื่อเราสามารถกระตุ้นจิตของเราให้อยู่ในอำนาจตัวคุ้มครองที่เราสร้างขึ้นมา ไม่ให้หวั่นไหวต่อโลกธรรม ๘ แล้วนะฮะ โอ้โฮ ครับมันแปลก คนธรรมดามากครับ แปลกลองดูซิครับ
            อย่าว่าเพียงแค่นี้ฮะ พรุ่งนี้ดูก็ได้ครับ ผมตะบอกของแปลก ๆ ให้ดูครับ ผมของผมนี่ฮะ ที่โกนออกไปพระเณรเก็บทุกวันมีกล่องใส่ ท่านดูได้ครับ
            “ผมดูแล้วครับ ไปดูทั้งสองกล่องเลยครับ”ผู้ถามพูดหรือฮะ ดูซิครับนั่นแปลกไหมฮะ ไม่ใช่มีนโยบายมีกาว มีเกอวไปใส่ท่านบี้ดูก็ได้ครับ
            “ผมเอามือกด ๆ ดู” ผู้ถามพูด
            กดดูบางอันก็แข็งนะฮะ อันเข็งเราดึงดูดครับไม่มีกาวนะฮะ ร่วงออกมาแล้วคุณทิ้งเอาไว้นะฮะคืนหนึ่ง นี่อันที่ตกอยู่นั่นจะเข้าไปอีกทั้งหมดเกลี้ยง ตื่นเช้าขึ้นมาหมด บางคนนะเขาเอาไปไหว้นะครู โคนออกไปแล้วทำไมมันงอกทำไมได้หละ เอาใส่กล่องไว้นี่ยาวเป็นคืบ ๆ ก็มี มันออกไปอย่างไร ของบางคน สามสี่เส้น เอาไปใส่กล่องเต็มเป๊ะเลย ไม่รู้มาจากไหน มันเป็นได้
             อันนี้เพราะเหตุไรครูรู้หรือเปล่านี่ เพราะเหตุไร บารมีที่เราสร้างสมอบรมมา มันทำให้แปลกจากคนธรรมดามากจะบอกให้ อย่าว่าเพียงแค่นี้ครู จะเล่าเรื่องแปลกยิ่งกว่านี้ให้ฟัง อาตมาไปอยู่บ้านกะเหรี่ยงนะพูดกันไม่ค่อยจะรู้ราวข้าวปลา เขาก็ไม่ให้ฉัน เอ้อ เราต้องอาศัยผักในคลอง ในคลองอะไรว่ากันไปตามเรื่อง ทีนี้ก็ทางโน้นเขาถือผี ที่นี้ตรงที่อาตมาอยู่มันคลองมางี้ยังไง มันมีคลองมา คลองคด ๆ มันหักข้อศอกอย่างนี้ ตรงอาตมาอยู่มันตรงจมูกออกมาอย่างนี้ เอ๊..อาตมาก็คิดว่าเรานี่จะเอาชีวิตรอดได้หรือเปล่า การบำเพ็ญของเราเวลานี้ก็รู้สึกบำเพ็ญได้ดี แต่ทีนี้ของเรามันชักหมด ๆ ลง ไม่ไหว ต่อเมื่อใดเราได้ฉันข้าว เมื่อนั้นเราจะได้มีชีวิตสืบต่อไป ทีนี้ก็พอตกกลางคืนมันมีแสงสว่างคล้าย ๆ ปลอดป่าอย่างนั้นแหละ มันสว่างตามคลองขึ้นมาเรื่อย ๆ ตรงนั้นเป็นศาลเจ้าที่เขาบูชา มันก็สว่างมาตามคลอง สว่างมาก ๆ ๆ ๆ มาถึงตรงที่อยู่มีต้นยาต้นหนึ่ง แสงสว่างอันนี้มาถึงยางก็หยุดทันที สว่างโล่ง ทุกคนที่นั่งอยู่มองเห็นกันได้ชัดเลยว่าใครเป็นใคร มองชัดจริง พวกกะเหรี่ยงงี้งงเลย เขาก็มาถาม พอเขามาถามก็บอกเขาตามความเป็นจริงว่า นี่คือ ผี ถ้าจะว่าอีกนัยหนึ่งคือเทพเจ้า แล้วเทพเจ้าที่เขามาเพื่อประสงค์อะไร ก็แล้วแต่จะพิจารณากัน เขาก็ว่าเอ๊ะ..ถ้าอย่างนั้นท่านก็เหนือกว่าผีซี่ ก็บอกว่าเหนือกว่าผี ทุกวันนี้พวกผมอยู่ได้ด้วยผี กราบไหว้บูชาก็เลยบอกว่านี่นะพวกผีทั้งหลายเหล่านี้ดี เห็นฉันมาอยู่ที่นี่เห็นไหมเขามาตรงนี้ ก็พูดอย่างนั้นแหละ ก็พูดในนัยที่เรียกว่าเราไม่ได้โกหก เราพูดคล้อย ๆ กันว่าเอาเหตุการณ์หรือว่าไปตามเรื่อง เขางง แสงสว่างนั้นอยู่ประมาณสักสี่ชั่วโมงได้ แสงสว่างก็ดับ พอดับพุบ หมดแสงหอม ทุกคนเกิดรู้สึกหอมจนกะเหรี่ยงเกิดความหัศจรรย์ ตื่นเช้าทหารเขามา พวกพลร่มเขามา พวกพลร่มที่เขาฝึกรบในป่าเขามาเจอ เขาก็ได้ให้เครื่องอันนู้นอันนี้ให้ฉัน เขาถึงได้ถามเพราะพวกนั้นพูดภาษกะเหรี่ยงได้ เลยถามพวกพลร่ม ๆ เขาอธิบายให้ฟัง พระอันนี้ต้องอย่างนั้น ๆ ๆ ๆ อธิบายตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาเอาข้าวปลามาถวายได้ประทังชีวิตสืบต่อมาเป็นลำดับ ๆ ได้ทรมานอยู่จน ๓ เดือน ต่อไปก็สี่เดือนก็ได้ฉันข้ามพอมีกำลังก็ออกมาได้ ในเมื่อเราเข้าตาอับจนอย่างนั้นก็มีสิ่งที่จะทำให้เรา พอที่จะมีช่องว่างก้าวเข้าไปสู่ได้ เพราะพวกนั้นคนป่าและอื่น ๆ อีกหลายอันหลายอย่าง
             (สายเทปพอดีหมดม้วน ต้องพลิกเป็นม้วนหน้าที่ ๒)
             เอ๊…เล่นกันอยู่ทั้งคืนเลย เอ๊..ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น อันนี้เป็นเรื่องที่แปลกที่สุด อันนี้แปลกมาก นี่เป็นสิ่งอัศจรรย์
             “ผมว่าก็เป็นไปได้อยู่” เถ้าแก่พูด
             ผมนะฮะทั้งหมดไม่ใช่เรื่องโกหกนะฮะ ผมทดลองนับไม่ถ้วนเลยฮะ หลายอย่างที่ผมทำมาแต่บางสิ่งบางอย่างผมจะไม่ได้เล่าให้ฟังนะ ผมจะเล่าถวายเฉพาะสิ่งที่เรียกว่าพอที่พวกเราจะฟังได้
             “คือเล่าก็ดีครับ เกิดศรัทธา ปสาธ” ผู้ถามพูดผมก็ไม่ใช่ว่าผมพูดเปื้อนเปอะนะฮะ คนมานี่ถามพระเณรก็ได้ครบ ผมเรื่องลึกลับนี่ผมพูดได้เป็นบางคน น้อยที่สุดพระเณรก็น้อยที่จะได้ยิน เพราะผมกลัวเขาจะหาว่าเป็นเรื่องโกหก ผมนี่ฝึกมามากครับฌานโลกีย์นี่ผมฝึกจนสำเร็จเหมือนกัน ฌานโลกีย์แบบเพ่งอะไรต่ออะไร แล้วก็เพ่งให้เป็นดินเป็นน้ำเป็นไฟให้ใบไม้มันร่วง
             “กระผมขอโอกาสฮะ คือ ฌานโลกีย์เป็นของ ..ของ” ผู้ถามพูด
             เป็นของฤาษี ของฤาษี เพ่งกสิณนะฮะ กสิณ ๑๐
             “พวกนี้จะทำให้เหาะได้ จะทำให้ดำผุดดำอะไร” ผู้ถามพูด
             ได้ซี่ ทำไมจะไม่ได้ เขาเพ่งวัตถุนิมิตนี่ฮะให้ไปให้กลับ ให้โตให้เล็กให้หมด แล้วก็มาเล่นร่างกายให้โตให้เล็ก อะไรพรรณนี้แหละ ให้เบา เอาร่างกายเราเป็นนิมิตตอนสุดท้ายครับ อันนั้นต้องเล่นอันนั้นเสียก่อนแล้วมาทดลองกับร่างกายให้เบา ผมทำอย่างที่ผมว่าอย่างนี้แหละครับ จับกล่องไม่ขีดขึ้นไปขื่อ ถึงแล้วๆ พอถึงขื่อก็วางไว้บนขื่อ เอากำหนด ๆ ลงมาถึงลืมตาขึ้นแล้วเอาไฟฉายมา ไม้ขีดอยู่บนขื่อผมทดลองจนออกไปเลยครับ
             “คือตอนทำกายให้เล็กให้ใหญ่กายนี้ใหญ่หรือฮะ หรือกายนิมิต” ผู้ถามพูด
             ความรู้สึกคล้ายกับว่ามันเล็กเข้าไปจริง ๆ ครับ มันเล็กเข้าไปมันโต ไม่มีอะไรงอแงคล้าย ๆ กับว่า มัคคีสมังคีครับ ถึงพร้อมทุกอย่าง เอาลองดูซิ ให้เบา มันก็ขึ้นไปเลย เบาหวิวขึ้นไปเลย ทำได้ครับ ผมพูดครับ ผมพูดก็คล้ายกับว่ามันเป็นสิ่งแปลกเหมือนกันนะฮะ อย่างเทียนนะฮะจุดไว้ มองให้ดับแกร็บมันดับ ทีนี้เราดูกันอยู่ดี ๆ นะฮะ ทีนี้ทดลองนะฮะให้มันติดนะฮะ มันติด แต่อันนั้นต้องเล่นอยู่ตลอดเวลา ต้องเล่นต้องฝึก ๆ ถ้าเราทิ้งก็หมดเหมือนกัน อันนั้นของเสื่อมได้ครับ เขาเรียกอุปธรรมไงฮะ ธรรมที่เสื่อมได้
             ทีนี้ส่วนจิตวิทยานี้ผมทำอย่างที่ว่า ถามได้เลยมีใครหายเพราะผมทำ ถามได้เลยครับ ใครบ้าง ๆ ถามได้ ขนาดอย่างที่ว่าโรคที่ยากที่สุดก็หัวใจโตนี่แหละ อย่างแม่ชีถามเขาได้เลยครับว่าเขาเป็นขนาดไหน ถามได้เลยครับ ทำไมสามารถหายได้ ๔ วันแท้ ๆ ครับ หายอยู่ได้จนปัจจุบัน ไม่ตายครับ ครูว่าอย่างไร ทำได้ถึงขนาดนั้นนะ แล้วทีนี้นะ อำนาจอย่างอันนี้เราไม่ต้องเอาไปใช้อย่างนั้น เราเอามาใช้กับจิตของเรา ทำไมจะไม่ได้ เขานั่งใส่บาตรเรา สะกดให้เขานั่งถือขันข้าว ไม่ให้มองเห็นเราทำไมเราบังคับได้ แล้วเราเดินไปเขาเข้ามาไหว้เรา เราบังคับความรู้สึกของเขาให้เห็นเราเป็นหมี ทำไมถึงวิ่งป่ารูดเล่าครับ
             แล้วเราบังคับบอกว่าจิตของเรานี่ อันนี้เป็นไปเพื่อทุกข์ เราจะต้องเผชิญกับความทุกข์ไม่มีสิ้นสุด อันนี้ภพของจิต อันนี้ไม่ใช่ของพระอริยเจ้า คือกิเลส คุณธรรมเป็นของพระอริยะเจ้า เราพูดแค่ทำไมเราะจะไม่ยอมรับมันทันทีเลยครับยุบทันที ไม่เอาหรอกครับ เช่น เขาด่าเราหรือมีเหตุการณ์รุนแรงจิตของเราจะไปลอยคอล๊อก เล๊ก ๆ ด้วยความเสียอกเสียใจนี่ เป๊ะ..ทีเดียวเท่านั้น อันนี้ไม่ใช่เรื่องของเรา อันนี้พระอริยเจ้าท่านไม่ยอม ถ้ายอมอย่างนี้คือการก้าวเข้าไปหาภพของจิต มันก้าวกันได้ เมื่อมีภพอย่างนี้ต้องมีเกิด ถ้ามีเกิดก็ต้องมีทุกข์ อันนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควร มันทันทีเลยครับ หยุด..พรึบ มันไม่เอาหรอกครับ เพราะฉะนั้นถึงว่าเมื่อเราสามารถเอาชนะจิตของเราได้โดยวิธีดังกล่าวนี้แล้ว เขาจะเข้าใจว่าเราทำไม่ถูกก็ชั่งเขาเป็นไรครับ คนที่อวดเก่งกับผมว่าทำไม่ถูก ๆ ผมขอแข็งไม่เห็นกล้ามาแข่งกับผมเลย บอกว่าท่านได้อะไรเป็นเรื่องวิเศษบ้าง ท่านจะเอาอะไรมาแข่งบ้างหละ จะเอาส่วยอภิญญาณมาแข่งก็ไม่เห็นได้สักรายเดียว ท้อถอยเลย นี่ครับผมอยากจะให้ลอง อาจารย์ทิวานะฮะ ก็ได้อย่างที่ผมว่า
             “ท่านอาจารย์ทิวานี่ เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหนครับ” ผู้ถามพูด
             อยู่เชียงใหม่ครับ
             “เป็นนายเรือแล้วเหมือนกันหรือฮะ” ผู้ถามพูดครับ ๆ นายทหารเรือครับ ท่านเรือตรีเต็มขั้นครับ พอออกไปเขาจะติดยศหรือโทให้ครับ ท่านไม่เอาครับ ท่านไปเลย เดี๋ยวนี้ไปอยู่เชียงใหม่ครับ ทีนี้ท่านมาฮะ ท่านมาท่านบอกเลยครับ ท่านบอกว่าผมนี่ลาด ตระเวนดูทุกแห่งแล้วครับ อาจารย์มหาบัว อาจารย์ขาว อาจารย์อ่อน อาจารย์กงมา ไหน ๆ ที่ไหนเขาลืออาจารย์คำดี รอบจนกระทั่งนั่นและครับ อาจารย์ชอบ อาจารย์อะไรก็แล้วต่อเกิดครับ ลาดตระเวนดูล้วนบอกว่าถ้าจะพูดถึงธรรมะปฏิปทาแล้ว ผมจะต้องขอเอาธรรมะปฏิปทาของท่านอาจารย์เป็นแนวปฏิบัติ อันนี้คือว่าท่านฟังแล้วมันกระทัดรัดท่านฟังแล้วมันรู้เรื่องได้ดี แล้วทำแล้วบังเกิดผล ท่านจะเอาธรรมะของผมอย่างเดียวของผู้อื่นไม่เอา ถึงแม้ไปก็เพียงแค่แสวงหาสถานที่บำเพ็ญเท่านั้นเอง นอกจากจะไปเอาความรู้พิเศษซึ่งเป็นส่วนภายนอก สำคัญส่วนภายอนอกเท่านั้นเอง ถ้าจะพูดธรรมะปฏิปทาแล้วจะขอยึดแห่งเดียวนี้ ตลอดระเบียบการปฏิบัติของพระเณรจะมาเอาที่นี้แหละไปเป็นตัวอย่าง ถ้าจะพูดถึงยกทีมแล้ว ท่านบอกว่าจะมาเอาที่วัดนี่แหละ คือว่าความเรียบร้อยรู้สึกว่าเรียบร้อยมาก ท่านว่าอย่างนั้น ท่านไปเดี๋ยวก็มาครับ ไป ๆ มา ๆ อยู่นี้แหละครับ ไม่หนีจริงหรอกครับ ไปเดี๋ยวก็มาอยู่นี่แหละครับ กับผมแล้วก็พูดอย่างไร เอาอย่างนั้นแหละครับ บางทีธรรมะธรรมโมมาเถียงผม เขาอยากจะมองกิเลสหรือไงก็ไม่รู้ ด่าผมงุม ๆ งำ ผมก็นั่งเฉย ผลสุดท้าย พอผมให้เหตุผลปุ๊บ..แหมยอมครับ กราบง้อค ๆ เลยครับ คือว่าเขาบอกว่าธรรมะของผมนี่ฟังง่าย ฟังแล้วเข้าใจง่าย แล้วก็การปฏิบัติอย่างนี้รู้สึกว่าลงมือพรุบมันได้ผล ได้ผลตรงไหนครับ เพราะหากในเมื่อเราทำได้เสร็จเรียบร้อยนะฮะ ถ้าเราทำอย่างนี้ เราไปเทียบเท่ากับผู้ที่ทำอย่างอื่น มารยาทผิดกันเป็นอย่างมาก การลุก การเดิน การนั่ง การพูดจาวจีอะไรต่ออะไรต่าง ๆ ผิดกันฟ้ากับดินเลยครับ ลองดูซิครับไม่เชื่อผิดกัน เพราะอันนั้นเขาไม่ได้สำคัญกิเลสเป็นอย่างนี้ ๆ เพราะฉะนั้นถึงว่ามันเสียครับ นี่แหละครับ เป็นอย่างนี้แหละ นี่อย่างท่านอาจารย์สี นี่ผมก็ชอบครับ ท่านพูดอะไรต่ออะไรนี่รู้สึกว่าน่าฟังครับ แต่ว่าท่านเองก็ ๆ พูดโดยที่เรียกว่าท่าจะสรุป ๆ แต่ละข้อ ๆ ญัติได้ความ ๆ เผยหน้าขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่ค่อยจะได้ครับ แต่ว่าน่าฟังฮะ จุดใหญ่ ๆ สำคัญก็น่าฟัง แล้วก็ท่านประพฤติปฏิบัติได้ดีด้วย นี่ขอให้พยายามเถิดครับพยายาม ผมเชื่อว่าท่านต้องได้
            ผมนะฮะ ถ้าจะว่าโง่ ผมก็โง่นะฮะ แต่ว่าผมพออ่านคนออกนะฮะ ว่าใครมีวาสนา ใครไม่มีวาสนา ผมอ่านออกนะฮะ แต่เราจะอาศัยวาสนาอย่างเดียว ถ้าดำเนินข้อปฏิบัติไม่ถูก ไม่สำเร็จนะฮะ พระพุทธเจ้า ๖ ปี ครับไม่สำเร็จ ไม่มีทาง ไม่มีทางครับ พระโมคัลลานื สารบุตรไงฮะ อุตส่าห์พยายามไปศึกษาลัทธิข้อปฏิบัติบุกต้องการเอาโมกธรรม เอาเสียจุดสุดความสามารถ ไม่ได้ จนปัญญา จนกระทั่งมาเจออัสสชิเถรเจ้าผู้เป็นสาวกใหม่ของพระพุทธเจ้าเดินผ่านมาถึงได้ติดตามไป แล้วก็เข้าไปสู่สำนักของพระพุทธเจ้าจนได้สำเร็จมรรคผล
             “คือว่าถ้าหากท่านไม่เชื่อพระอัสสชิ ถึงแม้ว่าจะมีบุญวาสนาอย่างไร แต่ปฏิบัติผิดทางครับ” ผู้ถามพูด
            ไม่มีทางหรอกครับ ไม่มีทางหรอก พระพุทธเจ้า ๖ ปี ครับท้อถอยอยากจะกลับอยู่แล้วครับ วันนั้นก็บุกใหม่ยังไงครับเลยเกิดได้สำเร็จขึ้นมา ไม่มีทางสำเร็จได้หรอกครับ บารมีจะแก่กล้าสักแค่ไหนก็ตาม นี่นาครับ อย่างพวกเรานี่ทำไมจึงไม่มีวาสนา
              “ผมขอโอกาสอย่างกระผมจะมีวาสนา จะปฏิบัติศีลธรรมจะได้ไหม” เถ้าแก่พูด
             ไปได้แต่ต้องศึกษาให้เข้าใจนะเถ้าแก่ เพราะว่าคุณกับโทษมันคู่คี่กันอยู่เถ้าแก่ ถ้าเราทำไม่เป็น พลับมันอาจจะทำให้เราเสียประสาทนี่ เพราะเวลานี้เรายังอิงประสาทอิงสมองบางอย่างนะ ทีนี้ถ้าเราทำให้ประสาทพิการพลับนี่ ละเมอเพ้อไปเลย เพราะอำนาจของเรายังไม่แก่กล้าพอ อย่างอาตมามานี่ขนาดไข้มาลาเรียขึ้นสมอง หมองงเลย เลือดดำตกตะกอนไปเลย เอ๊…เขาบอกว่าทำไมพูดได้ดีปกติไม่เห็นหวั่นไหว อาตมาบอกว่าอาตมาไม่ได้อิงประสาทสมอง อาตมาใช้ความรู้ออกจากจิต เวลานี้อาตมาเอาความรู้จากจิต ร่างกายเป็นเรื่องของร่างกายไม่สำคัญ แหมเขาก็งงเลย ถึงขนาดนั้นนาครับ เขาบอกว่าขนาดนี้คนธรรมดาเพ้อเลยครับ
             “ผมขอโอกาสใช้อยู่นี่ ใช้อยู่ที่ใจนี่” เถ้าแก่พูด
จริงอยู่ คำที่ว่าใช้อยู่ใจเราอิงประสาทสมองเพราะว่ายังไม่ถึงอันดับ อันดับที่เราใช้จริง ๆ มันคนละอันดับ ลึกกว่านี้เข้าไปอีก ลึกว่านี้มาก เวลานี้คล้าย ๆ กับว่าความรู้ เราอาจจะเอาจากจิตจริงอยู่ แต่ว่ามันยังอิงกันอยู่ ถ้าไม่อิงกันจริง ๆ มันไม่ยากเถ้าแก่ สมมุติว่าเราต้องการอยากจะทราบเรื่องอะไร ถ้าเราไม่อิงนะ ถ้าเรากำหนดแพล็บเดียวมันได้การเลย มันได้การทันทีเลย ถ้ามันรวมจริง ๆ ยกรูปเปรียบอย่างที่อาตมาว่าเวลานี้ คนที่อาศัยประสาทและมันสมองเป็นสื่อของความคิด แต่ว่าก็จิตนั่นแหละ เป็นผู้อาศัยแต่ว่าอาศัยประสาทสมองนะ เป็นสื่อหรือว่าเป็นสาย ก็เหมือนกันกับไฟที่ไหม้อยู่ที่หัวตะเกียงเจ้าพายุ พึม ๆ แสงใหญ่โต แต่เราจะมาอ่านหนังสือ อ่านไม่ค่อยจะออก แสงมันไม่แจ่ม ต่อเมื่อใดเราค่อย ๆ เป่าให้ไอมันเข้าหลังกุ้ง มันลงไปใส้ปกเราก็เป่าเอาไว้อย่าให้แลบ เป่า ๆ ๆ พอมันรวมได้เต็มที่แสงสว่างปึ๊ก ๆ ที่นี้สบายแล ฉันใดถ้าเราจะเอาความรู้จากจิตจริง ๆ เราต้องพยายามประคอง ๆ ความรู้สึกของเรารวมลงในจุดชิน จนขนาดที่เรียกว่าเราเอาความรู้จากจิตได้ขนาดไหน อย่างที่เล่าสู่ฟังว่า คนจะมาปั๊บมาคุยเรื่องอะไรจะว่าอย่างไร แล้วแต่เราจะใช้ จับเอาทันทีเลย เห็นไหมอย่างอาตมาไปคราวนี้กับพระ เขายังมาว่าอาตมาเลย ว่าเอ๊ะ..เมื่อสองวันนี้มีคนเขาไปฟังเทศน์ท่านอาจารย์ตั้ง ๖ คน ว่าเทศน์อย่างนั้น ๆ ใช่ไหม อาตมาก็บอกว่าไม่ได้มา ลองคิดดูซิมันเป็น เป็นอย่างไรหละ เทศน์เขาจำได้เสียด้วยนา ทุกคนเขาจะได้ว่าเทศน์อย่างนั้น ๆ ก่อนที่อาตมาจะออกเดินทางมาถึงที่นี้ เขาเห็นอาตมาแล้ว เห็นอาตมามาถึงจันทร์แล้วก็ตามกันมาเป็นแถวมาวัดมาหาไม่เจอ มันมาได้อย่างไร หลานสาวของอาตมาป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ลองคิดดูป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล เห็นอาตมาเข้าไปหาเลยกลางคืน ไปถามข่าวคราวอะไรเสร็จเรียบร้อยให้เงินไว้ ๓๐๐ บาท บอกว่าควักออกจากย่ามให้ ๓๐๐ บาท หมอเขาจะเอาเงิน ๓๐๐ บาท ถ้ามันหายแล้วเขาจะเอาเงิน ๓๐๐ บาท ยังกำลังคิดกลุ้มใจอยู่ไม่รู้จะได้มาที่ไหน พอดีเห็นอาตมาเข้าไป ไปทักไปถามอย่างนู้น อย่างนี้ ก็เลยถามว่าสตางค์ไม่มีใช่ไหม บอกว่าใช่ ก็เลยเอาเงินไว้ให้ ๓๐๐ บาท ก็เลยเอาให้ค่าหมอไว้เลย ก็เลยออกจากโรงพยาบาลได้ แปลกไหม ทั้ง ๆ ที่ตัวเองอยู่ที่นี้แหละ ทำไมเอาสตางค์ไปให้เขาได้ มันไปได้อย่างไร หรือจะเป็นผีเทวดาที่ไหนเอาไปให้ แปลกนาครับเรื่องนี้ หลานของผมงงเลยครับเรื่องนี้ ครูว่าอย่างไรมันแปลกอย่างไรบ้าง ลองคิดดูอย่างนี้ก็แล้วกัน เข้าไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลไม่ได้ไปเยี่ยมหนเดียวเสียด้วยนะ ถ้ามีอาการหนักก็ไปทุกที ๆ ไปเทศนาอบรมอย่างนู้น อย่างนี้เสียด้วยนา เรื่องมันแปลก ๆ ดีเหมือนกัน นั่นทำไมมันชั่งเป็น
             “ผมขอโอกาสนั่งสมาธิอยู่ที่บ้าน ผมนั่งไป แหม เจอะหลวงพ่อครูบาอาจารย์ไปเยี่ยมอยู่ที่หน้าบ้าน กลางคืนไปหาห้าหกครั้ง อันนี้เป้นของจริงหรือเปล่าไม่ทราบครับ”
             บางทีมันเป็นอุคหนิมิต ขอให้พยายาม พระพุทธเจ้านะครับ ถ้าไม่ดีจริงพระองค์ไม่อยู่หรอกครับ ต้องถอย แล้วก็ทุกคนที่ได้ธรรมที่พระพุทธเจ้าได้นะฮะ ถ้าหากว่าไม่ดีคงไม่ท้อถอยออกมาสักองค์จนได้ครับ แต่อันนี้ไม่เคยมี ความเป็นอยู่ของแต่ละองค์ไม่ใช่ว่าจะต่ำเสมอไปครับ จะต้องมีต่ำและมีสูง อันนี้แน่นอนเหลือเกิน
             “ผมว่าท่านอาจารย์คงจะมีเอตทักคทางนี้เอามากนะครับ” ผู้ถามพูด
             ผมเชื่อว่าทุกคนต้องได้ครับ แต่ว่าเราจะเล่าหรือไม่ ผมเชื่อเหลือเกินครับถ้าทำอย่างนี้ได้ทุกคน ทำอย่างผมทำทำอย่างนี้ คือกำหนดอย่างว่า เขาบอกว่าแบบนี้เป็นไปเพื่อสุขวิปัสสโกครับ ทำอย่างผมทำ แต่แล้วเมื่อทำแล้วมันไม่เป็นเลย ไม่จริง ถ้าจะว่าผมไม่รู้อะไรเลยก็ไม่ใช่ ผมก็รู้ แต่ว่าผมอาจจะไม่ใช้ก็ได้ เพราะทำไมถึงไม่ใช้ มันเสียครับ มันเสียเพราะเหตุไร ผมใช้มาจนเสียครับ เสียจนเลิกครับ
             “เสียอย่างไรครับ” ผู้ถามพูด
             เสียหรือฮะ พระเณรนะฮะใครคิดเรื่องอะไร ๆ ผมว่านี่เสียหมด เสียอย่างไรครับ องค์ที่มีอะไรพิลึก ๆ ในตัวเกิดท้อใจไม่สบายใจ กลัวผมจะรู้อะไรต่ออะไร ถามท่านคำพันดูซิครับ ญาติของท่านคำพันนี้สึกไปก็มี หลาน ๆ ผมสึกไปตั้งสองครับ ก็เพราะเหตุ เพราะเดินจงกรม เดินไป เดินมา กำลังคิดอยู่ ผมก็นั่งอยู่เฉย ๆ ธรรมดาเขาเดินเขาคิดเรื่องอะไรผมรู้ ผมบอกว่าเดินจงกรมทำไมไปคิดอย่างนั้น คิดอย่างนั้น ๆ ๆ ใช่ไหม แย่เลยครับ หน้าตาเสีย หมายความว่าหน้าผิดสีทันทีเลยครับ ผลสุดท้ายของอนุญาตกลับบ้านสึก ชื่อฮูม นี่ครับญาติของท่านคำพัน ถามดูซิครับ จนนี่ท่านคำพันจะมาหาผมสั่งแล้วสั่งอีกนะครับ บอกว่าอย่าไปคิดอะไรเชียวนะ คิดแล้วลำบากเลย ถึงขนาดนั้นกลัว แล้วไม่เพียงคนเดียว หลายคนผมพยายามเตือน ถ้าคิดในสิ่งที่ไม่ดีผมก็บอกว่าอย่าไปคิด ๆ อย่างนั้นไม่ดีหรอก คุณคิดอย่างนั้น ๆ ใช่ไหม อยู่ไม่ได้หรอกครับ ๓ คน ที่ผมว่าแค่นี้ สึกทั้ง ๓ คน เขาอยู่ไม่ได้หรอกครับ เขาร้อนครับ ผมถึงไม่ค่อยจะใช้ครับ ผมไม่ค่อยได้ใช้ ผมใช้เพียงแค่ที่ว่า อย่างจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น บอกว่าคนนั้นวันนั้นจะต้องลงจากวัดไปนะ แล้วก็วันนั้นคนนั้นจะขึ้นมา แล้วขึ้นมาเขาจะต้องทำอย่างนั้น ๆ แล้วพระเณรต้องหลบกันอยู่ไปทางโน้น เขาจะต้องเดินจากไปถึงนี้ ลาดตระเวนอยู่ในเขตนี้ อะไรแบบนี้ ผมบอกถูกหมด
             เพราะฉะนั้น ถึงว่านี้แหละครับเหตุอันที่จะมีผลอันนั้นไม่มีอื่นไกล เนื่องจากสร้างกำลังอย่างที่ผมว่า พอกับความต้องการมากระตุ้นความรู้สึกของจิต ให้รับรู้อยู่ในจุดใดจุดหนึ่ง แล้วก็พยายามกระตุ้นไม่ให้เป็นไปตามรูปเหตุการณ์ แล้วก็เหตุการณ์จะเป็นปัจจุบันหรือเป็นอดีต ท่านเรียกว่าอตีตารมณ์ ก็ตาม ไม่ให้จิตของเราวอกแวกไปโดยลำพังของมัน นอกจากเราจะบังคับให้มันคิด ว่าอันนี้เป็นอย่างนี้ ๆ ๆ ๆ เพื่อเป็นไปเพื่อการเศร้าสลด เพื่อเป็นไปเพื่อความกระตุ้นเตือนตัวเองว่า หากในเมื่อเราทำอีกต่อไปเราจะต้องได้รับโทษอย่างนี้ เป็นสิ่งตอบแทน เมื่อเราทำอย่างนั้น ต่อไปจะได้รับผลดีเป็นสิ่งตอบแทนอะไรเหล่านี้ อันนั้นเราใช้บทวิจารณ์แล้วเราก็ต้องบังคับมัน หากในเมื่อเราไม่ต้องการเราสั่งก็หยุด อย่าให้เหตุการณ์กระตุ้นเราไปคิด บางทีเหตุการณ์กระตุ้นเราไปคิด เราอยากหลับอยากนอนอยากหยุดมันก็ไม่หยุดนะฮะ มันกระตุ้นเราไปเอง อันนั้นอย่าให้ได้เป็น ให้เอากำลังตัวนี้กระตุ้นให้อยู่ในอำนาจของตัวนี้ รับรองท่านทำได้เพียงแค่นี้แหละครับ จะปรากฏผลอย่างที่สุดเลยครับ อะไรเป็นอะไรท่านจะชัดที่สุด
             “กระผมขอเรียนถามอีกข้อหนึ่ง คือ ผมเกรงว่าขณะที่เรากำลังรวม คือ อย่างที่ท่านอาจารย์ว่า ผมกลัวว่าจะมีสิ่งที่น่ากลัวอะไรขึ้น ผุดขึ้นมอย่างนี้” ถาม
             ไม่มีครับ
             “ถ้ามีขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไรครับ” ถาม
             ถ้าทำแบบนี้ไม่มีครับนิมิต ไม่มีเลยครับ นิมิตไม่มีครับ การทำที่มีนิมิตมันต่างหากครับ ผิดจากนี่ไปอีก เขาเรียกว่าลัทธิ ภวังคตาจิต เต็มไปด้วยนิมิต อย่างที่ผมว่าดิ่งลงไปสามฐาน สมาธิสามฐาน ภวังค์สามฐานนั่นแหละครับตัวนิมิตใหญ่มันเกิดเลยครับ ถ้าตกจุดกลางนี่ โอ๊ย..นึกไม่ได้หรอกครับ นึกก็เอาเลยครับ อย่างท่านอาจารย์สีส่าไง ท่านดำเนินแบบนั้น แต่ผมไม่ได้คุยท่านให้ได้ละเอียดนะฮะ ท่านบอกว่าท่านนั่งลงไปนะฮะ เกิดมีผู้หญิงเขาไปซ่อนกุ้ง ผลสุดท้ายวิ่งชนกระดูกหลังหักเลยครับ ต่อจากนั้นมาท่านกลัวผู้หญิงครับ กลัวซะ พอนึกว่าผู้หญิงจะมา วิ่งมาสี่ทิศเลยครับ แหมถ้าหากว่าไม่กระตุ้นเอาไว้นี่ร้องแน่ครับ ร้องแน่ แหมกลัวเสียสั่งหมดทั้งตัวเลยครับ ทางนี้ก็ผู้หญิง ทางนี้ก็ผู้หญิงมา เขาจะมากอด เพียงแค่เสียงผู้หญิงที่เขามาเอากุ้ง พูดกันง่าย ๆ ในหนองเสียงแวบเดียววิ่งเข้าชนกระดูกหลังขาดเลยครับ ความรู้สึกนะฮะ กลัวทีนี้นั่งอยู่ตรงไหนก็สั่นอยู่อย่างนั้นแหละครับ กลัวท่านอาจารย์เรานี่เป็นนะฮะ เพราะว่าดำเนินในทางภวังตาจิต ศึกษามาจากท่านหลวงพ่อบัว หลวงพ่อบัวนี่สอนสัทธิ ภวังคตาจิต เคยศึกษากับท่านเหมือนกัน อันนี้เต็มไปด้วยนิมิต อย่างเราทำนิมิตมันจะมีอย่างไรครับ คือสร้างสติขึ้นมา ๆ สมบูรณ์แล้ว เรามากำหนดที่ปลายจมูก โดยจุดประสงค์ของเราต้องการจะเอาอำนาจตัวนี้ บังคับความรู้สึกให้รับรู้ในจุดได้เต็มที่นะฮะ เมื่อเราสามารถกระทำได้อย่างนี้ เต็มที่แล้ว ต่อจากนั้นไปเราเอามาใช้กับอันนี้ มันจะเกิดนิมิตได้อย่างไร ไม่มี เราไม่ได้กำหนดนิมิตนี่
             “เอามาใช้กับการแสดงออกทุกอย่างเลย จะเป็นการเดิน การเหิน การนั่ง การขบ การฉัน อะไรทุกอย่างหรือครับ” ถาม
             ทั้งนั้นแหละครับ ควบคุมเลย
             “ไม่ใช่ว่าเอาไปตั้งอยู่ที่จิตอย่างเดียว” ผู้ถามพูด
             ไม่ครับ ไม่เอาอย่างนั้นครับ เราเอาอย่างนี้แหละครับ การเคลื่อนไหวของเรา ๆ จับแตง อย่างผมนี่นาฮะ ผมบวชมา ๒๕ ปี ๒๖ ปี ผมนี่จะทำแก้วให้หลุดมือหรือเตะให้มันแตกไม่มี ผมไม่เคยมีครับ นี่ผมถึงว่าผมพิเศษกว่าคนอื่นมาก มีใครจะได้อย่างผมบ้าง ผมนี่เป็นคนชอบทำงาน อะไรต่ออะไรผมทำ โอ๊ย..คล่องปี๊ดเลยครับ แต่แล้วผมนี่แก้วหลุดมือแตก เตะแก้วแตกผมไม่มี เพราะความสมบูรณ์ด้วยสติครับ มีคราวหนึ่งครับท่านอาจารย์อินตา ฉันน้ำชา เสร็จแล้วเอาแก้วตั้งไว้ที่ใต้จักร พวกผมมาต้องการจะเย็บผ้า พอดีแดดมันเข้ามาก็ โอ้..แดดมันเข้ามาถึงจักรแล้ว เดี๋ยวเคลื่อนจักรเสียหน่อยเถอะ ผมไปหาม กร๊วบ..หามลากไป กร๊วบเลยครับ แตก อันนี้ไม่ใช่ผมทำแตกโดยตรงนะฮะ เพียงแค่หามจักรลากมา ขาดความละเอียดละออไม่ได้มองดูว่านี่อะไรบ้างอยู่ข้างล่าง แค่นั้นเอง นอกนั้นแล้วไม่มีครับ ผมไม่เคยมี ถึงขนาดนั้นนะครับ เพราะฉะนั้นนี่แหละครับขอให้คิดเถิดว่า สตินี่นะฮะเหนือกว่าคนธรรมดามาก หากในเมื่อเรามีสติแล้ว การหยิบของการวางของการลุกการเหินการเกินการนั่ง ไม่เผลออย่างเราเป็นพระอย่างนี้ จะเผลอให้เขามองเห็นสิ่งที่ไม่ดี เราไม่มี มันถึงพร้อมจริง ๆ ครับ
             “ยิ่งละเอียดเท่าไหร่ ก็ยิ่งเกิดประโยชน์แก่เราเท่านั้นหรือฮะ” ถาม
             ยิ่งละเอียดเท่าส่วนนี้ยิ่งละเอียดมากครับ เราจะนั่งตรงไหนสมควร นั่งตรงไหนไม่ควร ความรู้สึกมันวิ่งถึงธรรมวินัยและเพศ วัย ฐานะของเราตลอดเวลา เรานั่งตรงนี้ดีไหม เราจะนั่งแบบไหนอย่างไรมันรู้สึกหมดครับ มันมีสติวิ่งออกหน้าตลอดเวลา เราจะลุกขึ้นกะเปิงกะปางให้มีรู้ ไม่มีทางครับ ก่อนที่เราจะนั่งปุ๊บ เราจะต้องหันหลังไปให้เขาปุ๊บเลย นั่งปั๊บดีแล้วก็เบี่ยงขาออกมา เวลาเราจะลุกเราไม่ลุกออกหน้าอย่างนี้ ถ้ามีคนแล้วก็ปุ๊บ มันจะต้องหันหลังให้ตลอดเวลา เพราะความรู้สึกนั้นมันค่อยอยู่ในตัวครับ โอ๊ย..ละเอียดลงไปเป็นลำดับ ตลอดพูดนะฮะ ถ้าคนเข้าใจจริงพูดกับคนไม่เข้าใจนี่ โอ้..พูดผิดกันครับ ผมฟังมามากต่อมาก คนเข้าใจพูดนี่จะพูดได้เหมาะเจาะมาก และพูดจนถึงลักษณะหน้าตาโฉมของมันได้ชัด ถ้าคนไม่เข้าใจจริงพูดไม่ได้ ป้ำเป๋อ อะไรเป็นอะไรนักก็ไม่สู้ บางคนโอ้ย..พูดชัดได้หรืออะไรต่ออะไร เขาบอกว่าอันนั้นอันนี้บ้าง โอ้ย..ขอให้มันจริงเถอะน่า มันจริงเถอะนะ มันก็ออกมาได้ละนะ กลัวไม่จริงอย่างเดียว นี่แหละครับ ผมเล่าเรื่องจริงให้ฟัง ขอพยายามเถอะ ขอให้พยายามทำ
             “กระผมขอโอกาส กระผมสงสัยว่าตอนที่กำหนดลมหายใจเข้าออกที่ลมหายใจจุดใดจุดหนึ่ง เวลาสติควบคุมเอามาแล้ว จิตจะไม่ลงภวังค์หรือครับ” ถาม
             ไม่ลงครับ เพราะเราไม่มีเจตนา คือว่า สัมมาสังกัปป คือความดำริ ความดำริถ้าเราได้ยินจากครูบาอาจารย์ว่า ทำแล้วมันจะลงไปอย่างนั้นรูปนั้น อันนี้สัญญามันมี เมื่อสัญญามันมีตัวดำริมันก็ต้องการอยากจะให้เป็นไปอย่างนั้น พอเราสร้างสติพอกับความต้องการประคองกันลงเลย ครูบาอาจารย์บอกว่าลงไปอย่างนั้น จะปรากฏผลอย่างนั้น ลงไปยิ่งลึกยิ่งดี อย่างงั้น ๆ ถ้าอันนี้มีเป็นสัญญา ประคองกันลงไปเลยก็ตกลัทธิภวังคตาจิต ไม่ต้องทำลายกิเลส ไม่มีทางแล้ว ก็มีแต่ย้อมกิเลสทั้งนั้นเลย แต่มันเป็นกามภพชั้นละเอียด มันดิ่งลงไปเลย ทีนี้ดิ่งลงไปชมผลของสมาธิ ทีนี้นิมิตก็เกิด จับนิมิตนั้นจับนิมิตนี่ ถ้าไปหลงนิมิตหรือกลัวนิมิตก็บ้ากันไปเลย นี่ลัทธิภวังคตาจิต
             “ต้องกำหนดรู้อยู่ตลอดเวลา ไม่ให้มันลงใช่ไหมฮะ” ถาม
             ถ้าของเรา ๆ ไม่ต้องการจะไปนี่ เราไปนี่เราต้องการให้มันไปนี่ เพราะครูบาอาจารย์สอนว่าถ้าสมบูรณ์ดีแล้วการสงบของสมาธิจะต้องสงบแบบนั้น แบบนี้ ท่านสอนในลัทธิภวังคตาจิตตลอดเวลา เราเข้าใจแล้วแบบนี้ พอเราทำได้เสร็จเราก็บุกเข้าไปเลย มันก็ไป
            แต่ที่นี้ของเรา ๆ ทำอย่างนี้เพื่อประสงค์อะไร เราเพื่อต้องการอยากจะให้มีอำนาจเหนือกัน จะกระตุ้นให้มันรู้สึกหรือรับรู้อยู่ในจุดนี้ได้ตลอดเวลา เมื่อเวลาเรานอนทำอย่างนี้ เราจะไม่ให้หลับอย่างนี้ ก็พยายามกระตุ้นไม่ให้หลับอยู่ตลอดเวลา เราต้องการเพียงแค่นี้ ต่อจากนั้นไปแล้วเราจะเอากำลังส่วนนี้มาแต่งทางกาย ของเรา การลุกการเหิน การเดิน การนั่งคุมให้ทันได้ตลอดเวลา โดยเจตนาของเรา คือว่าสังกัปป ความดำริ มันมาทางนี้ ครูบาอาจารย์สอนแบบนี้ เราพยายามเอาแบบนี้ มันจะลงไปได้อย่างไร เพราะเราไม่ให้มันลง แต่อันนั้นเราประคองมันลงนะฮะ เดี๋ยวก็พอทำได้แล้วครูบาอาจารย์ก็บอกว่ายิ่งลงไปละเอียดท่าไรยิ่งดี ยิ่งลึกเท่าไรยิ่งดี ทีนี้สอนแบบนั้น พอดีเราชนะมันปุ๊บเราก็นำมันลงเลยทีนี้ ปุ๊บ..มันก็วูบไปเลย ตกกระแสร์ ปั๊บ เข้าไปเลย เข้าภวังค์ปุ๊บเสร็จเลยทีนี้ ยิ่งหริวเข้าไปเท่าไรก็ยิ่งเด่นออกมาเป็นลำดับ อ้าว..ทีนี้ก็ชมผลแหม วันนี้นั่งได้ทน วันนี้เบา วันนี้สบาย วันนี้สว่าง เห็นอันโน้น เห็นอันนี้ เดี๋ยวก็บ้าจิต อันนั้นเป็นลัทธิภวังคตาจิต อันหนึ่งลัทธิเบญจขันธ์ พอลัทธิเบญจขันธ์เขาก็สอนให้ทำแบบเดียวกัน พอสามารถสู้กันได้เสร็จเรียบร้อยดี เอาความรู้ทั้งหลายเหล่านั้นมาอ่านกาย มีหนังกี่ชั้น มีกระดูกกี่ขด มีเส้นเอ็น เส้นน้อยเส้นใหญ่ ไม่รู้อะไรมันอยู่ตลอดเลย อันนั้นมันลัทธิเบญจขันธ์ เขาก็เอาไปแบบนั้น แต่แล้วกิเลสไม่ได้ทำลาย และลัทธิฌานโลกีย์ เมื่อเขาทำได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็พยายามมองอันนั้น มองไฟให้ดับ มองไฟให้ติด เอาละทีนี้ มันก็ไปกันต่าง ๆ นา ๆ หรือบางทีทำแบบนี้เป็นมหานิยม ทำให้คนนี้หลง ทำให้คนนู้นหลง ไปกันแล้วที่นี้มันเป็นคนละลัทธิ ที่นี้อย่างเรานี้ ลัทธิโลกุตระ เมื่อเวลาเราทำแล้ว ได้พอกับความต้องการแล้ว เราเอามาแต่กิริยาอาการของกาย พร้อมทั้งวาจาของเราที่เราพูด ญัติ เข้าสู่วาจาสี่ฐาน ว่ากันไปตามเรื่อง
             “เราทำกิเลสให้สิ้นไป” ผู้ถามพูด
             ของเรามันทันกิเลสนี่แบบนี้ ทำลายกิเลสของเรา พอหันเข้ามาปุ๊บนี่เรามุ่งหวังจะเอาชนะกับกิเลส เมื่อจิตมันแสดงออกมาในทางที่ไม่ดี เรากระตุ้นไว้ แสดงออกมาในทางที่ไม่ดีเรากระตุ้นเอาไว้ เราไม่ยอม
             “คือว่า เราก็ใช้ได้ทั้ง คือว่าเรามีปัญญาให้อาสวสิ้นไปด้วยและเราก็สามารถที่จะเอาผลพลอยได้ คือ พวกฌานต่าง ๆ นี้ ใช้ได้ด้วยหรือฮะ” ผู้ถามพูด
             อันนั้นมันเกิดขึ้นมาเองครับ เราไม่ได้กำหนดหาอันนั้น เป็นผลพลอยได้เฉย ๆ ครับมันมาเองครับ พอเราสามารถทำได้แล้วอย่างนี้ เราอยู่เฉย ๆ มันเป็นเองมาหมดครับอันนี้ มันเป็นเอง เราจะระลึกชาติหนหลังเราเป็นอะไรมา เราก็ไม่ต้องบอกกัน มันแจ่มไปเองครับ มันเป็นเองครับ เป็นผลพลอยได้ หรือใครจะไปใครจะมาเรื่องอะไรต่ออะไรต่าง ๆ ได้ยินในหูปล๊อกมาทันทีเลยครับ ไม่ยากครับ อย่างที่ว่านะฮะ วันนั้นคนเยอะครับ เขาบอกว่าตุ้มหูหายตุ้มหู ฝนตกใหญ่ครับหลุดหายที่ไหนก็ไม่รู้ ฝนตกใหญ่โครม ๆ ไม่รู้ ถามเขาว่าไปไหน ไม่รู้ ไม่รู้เขาไปไหนบ้าง ก็ทั้งวันนี่ พอเขาบอกว่าตุ้มหูหายคำเดียวเท่านั้น จับได้แล้วมันอยู่ที่ไหน แปร๊บ..ไปแล้วครับ ของไม่มีวิญญาณทำไมจับได้ ผมเดินไปเลยครับ ครอก ๆ ตรงนี้หาหรือยังโยม ยังไม่ได้หา โยมเคยมาที่นี้ใช่ไหม…ไม่เคย คิดดูดี ๆ ซิ เคยมาหรือเปล่า…ไม่เคยมา เอาดี ๆ นะลองคิดดูว่าตรงนี้ ๆ โยมเคยมาหรือเปล่า ขอบอกไม่เคยมา แล้วตรงนี้เคยมาไหม..เคยมา เขาบอกเคยมา โยมมาทำไม…เบา แล้วมาเบา อาตมาเชื่อว่าของโยมอยู่ทางนี้ ทีนี้ได้เข้ามาเบาตรงนี้ แต่มันที่ไหนได้เขามาเบาที่นี้ มันตกตรงนี้ที่ฝนตกน้ำมันเซาะ นู้น..ครับ คกนู้น ผมเลยบอกว่าลองโกยดูซิ เขาก็โกย โกยแล้วติดมือขึ้นมาเลย โอ้..อยู่ตรงนั้นจริง ๆ น่าครับ ทำไมมันได้เล่าครับ เพียงแค่ได้ยินแพร็บเดียวเท่านั้นแหละครับ มันจับติดมือเลยครับ แพร็บ..ได้ความเลย นี่ครับอันนั้นเขาเรียกว่าผลพลอยได้ครับ อย่าว่าเพียงแค่นี้ เอาอะไรบ้างหละครับ ถ้าจะพูดถึงเรื่องผลพลอยได้อย่างอื่น เขมรนะ เขมรต่ำนี่ มันฟังเสียงพูดผมไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลยฮะ นี่ก็มีสักขีพยาน ลุงทิดเสาร์ถามได้ ทิดเสาร์เขามาถามได้เลยครับ ทิดเสาร์มาพรุ่งนี้ถามได้เลยจริงไหม แล้วโยมเยื้อนนี่เขาไปสืบจนถึงสถานที่เกิดเหตุเลย โยมเยื้อนคนที่อยู่ที่วัดนี่ ถามได้อีกเลยครับ ทีนี้เขมรนะครับ มันมาขอพระ ผมบอกว่าไม่มี มันมาขอเครื่องลางของขลัง ผมก็บอกว่าไม่มี เขาบอกว่ากลัว ผมจะไม่ให้สตางค์หรือเขาว่างั้น เปล่า อาตมาไม่ว่าหรอก ก็เลยโมโหว่าพระอย่างนี้ไม่ควรเอาไว้เลยฆ่าทิ้งเสีย แหมว่ารุนแรง ปุ๊บ ปั๊บ เดินไปเลยครับ พอมันเดินไปกันสี่คนมันก็เอาปืนมาเลยครับ จะมายิง จะมายิงผม มีใต้สองเล่ม มีปืนมา เอ๊..มีปืนมาแล้วทำอย่างไร ผมก็ ลุงผมก็จะวิ่งหนี ผมบอกว่าอย่าไป ไม่ต้องกลัว ทั้งที่คนเขาก็เห็นอาการผิดจริง ๆ เขาหลบหนี ผมก็นั่งสมาธิเลย เสื่อสองผืน แล้วเด็กนอนอยู่ผืนหนึ่ง ผมนั่งอยู่หัว ทั้งลุงทิดเสาร์นี่ฮะ นั่งอยู่หัวท่าน เดี๋ยวพรุ่งนี้ทิดเสาร์มาพรุ่งนี้ถามได้เลยครับ ผมนั่งสมาธิเลยครับ นั่งสมาธิผมอธิษฐานด้วยอำนาจที่ผมทำทั้งหมดนะฮะ ผมเอาอำนาจส่วนนี้แหละครับ คุ้มครองคนที่นอนด้วย นั่งด้วย ทั้งผมด้วย บังตาคนสี่คนที่หาผมนี่ วนกันไปก็วนกันมาบ่นใหญ่ แหมน่ากลัว กลัวเราจะวิ่ง ไปไหนวะ ฮึมีจอมปลวกแห่งหนึ่ง เขาก็ไปวนหาตรงจอมปลวกแล้วก็วนมาดูว่าจะออกทางไหน จะมาลอบยิงอย่างนั้นหละมั้ง มาแล้วไม่เห็น มันเห็นผมซักหน่อยเลย เขาก็เดินไปวุ่นกันมาอยู่แถวนั้น นี่แหละครับมันเป็นผลพลอยได้ครับ ด้วยอำนาจเพียงแค่นี้ ปิดปั๊บเลย และอย่าว่าเพียงแค่นั้นเราจะมาจับผมไปเข้าตะราง กลางวันแสก ๆ ผมยังเดินเข้ามานั่งตรงกลางเขาได้ ฟังเขาคุยกันว่าเรื่องอะไร ผลสุดท้ายผมจับเสื้อกระตุก นี่ทิดเสาร์คนหนึ่งด้วยครับ อยู่กับเขา ที่เขาจะมาเล่นงานผม ถามทิดเสาร์นี่ได้เลยครับ เรื่องนี้เรื่องจริง ไม่เพียงแค่ทิดเสาร์หรอกครับ คนอื่นระยองอย่างนี้ คนมานั่งตั้งสิบกว่าคนดีวงกันอยู่นะ ผมมานั่งฟังเขาคุยกันครึ่งชั่วโมง มาคุยเรื่องอะไรกันบ้าง เสร็จแล้วเขาก็เลยต่อว่าเอาใหญ่โต ทำไมได้ครับ นี่แหละครับผลพลอยได้ครับ นี่ไม่ใช่ผลจริงนะครู นี่ผลพลอยได้เฉย ๆ เราอย่าไปบ้าผลนะ เราต้องบ้าเรื่องกิเลสให้มาก เช่น เราชนะหมด ในความคะนองของเราไม่มี เราจับได้หมดอย่างนี้ เราสามารถบังคับกิริยาอาการของเราทั้งหมด ให้เป็นไปตามธรรมให้ได้อย่างนี้ ครูเอ๋ย ถึงจะยอดครู ถ้าเราสามารถทำได้อย่างนี้ เราสมควรแก่นิพพานครู สมควรแก่นิพพาน เพราะกิเลสตัณหาไม่มี ภพของจิตไม่มี เราบังคับได้ตามปรารถนา แล้วทำไมจะไม่ได้ บางคนว่าเข้าฌานหรือเข้าอะไรลงไป จนไม่ได้ยินเสียงอะไรต่ออะไรจมลงไปอย่างนั้น จนวิญญาณก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี อย่างอาจารย์มหาบัว อย่าไปเชื่อเลย ไม่จริงหรอก ไม่จริงเราทำลายกิเลสตัณหาของเราหมดแล้วนะ ถึงแม้เราจะ..คนอยู่ด้วยหมู่คณะ จิตใจของเราไม่ได้ติดหมู่คณะ เรารักคนอยู่ในความเป็นอยู่ในโลก แต่จิตใจของเราหาได้ติดเหตุการณ์ของโลกไม่ ขอยกรูปเปรียบน้ำมันกับน้ำธรรมดาอยู่คนละครึ่งขวดกัน ครูจะเขย่าสัก ๓ วัน วางเมื่อไรก็แยกกันเลย จะเขย่ากี่วันวันก็แล้วแต่ในระยะที่เขย่าเหมือน ๆ ปะปะกันแล้ววางปุ๊บก็แยก ฉันใดก็ดี จิตใจของเรามันไม่ได้ติดความเป็นอยู่ของโลกครูอยู่สักแต่ว่าเราทำเหมือนกันกับคนอื่น แต่ว่าส่วนเจตนามันคนละรูปกัน
เพราะฉะนั้น เมื่อเราเป็นได้อย่างนี้ทำไมถึงจะไม่สมควรแก่นิพพานครู พุทโธ่ ครูอย่าไปเอาอย่างอื่นนะ ลัทธิข้อปฏิบัติเบญจขันธ์ ครูก็อย่าไปเอา ลัทธิภวังคตาจิตครูก็อย่าเอา ลัทธิโลกียฌานครูก็อย่าเอา ลัทธิจิตตวิทยาทั้ง ๔ ครูอย่าไปเกี่ยวข้อง ครูเอาโลกุตรอย่างเดียวครู ๔ ลัทธิ ๕ ลัทธิ กับโลกุตรสร้างกำลังมาอย่างเดียวกันท่าน สร้างกำลังมาแบบเดียวกันหมด แต่เอากำลังใช้ผิดกัน
             “กระผมเพิ่งได้ยินนี่แหละครับ ลัทธิโลกุตร รู้สึกว่ามันรัดดีเหลือเกิน” ผู้ถามพูด
             ใช้อย่างเดียวกันเลยครับ นี่แหละครับสร้างขึ้นมาแบบเดียวกันหมดทุกอย่าง แต่เอามาใช้คนละอย่างกัน อย่างของเรานี่ก็รวมเอากำลังส่วนนี้มาประกอบกับจิต อย่างพระพุทธเจ้ายังบอกว่าพระพุทธเจ้ารู้ทั้งหมดและศึกษามาหมดแล้ว พระองค์ถึงได้ออกมาบำเพ็ญทางจิต คำที่ว่าออกมาบำเพ็ญทางจิตคือรวมกำลังอันนั้นนาฮะ มาทรมานจิตครับ มาสังเกตการเคลื่อนไหวของจิตว่ามันแสดงต่อภพอย่างไร กิเลส ตัณหา มันเป็นอย่างไร เอากำลังส่วนนี้มาคอยกระตุ้นแห่งจิต จึงได้สำเร็จคืนนั้นเลยครับ เป๋ง ขึ้นมาเลย เป็นสยัมภูเลยครับ นั่นยกธงชัยขึ้นทันทีเลย นั่นเป็นอย่างนั้นครับ
             เพราะฉะนั้น อย่าลืมนะครับ ผมฝึกมาหลายลัทธิครับผม ทำได้หลายลัทธิ แต่แล้วสรุปแล้วผลอันเดียวกันหมดครับ ไม่ผิด ผลที่ ๆ ต้องการได้เป็นอันเดียวกัน แต่แล้วเราเอาไปใช้ผิดกันเท่านั้นเอง
             “กระผมขอโอกาส เวลารวมสติได้แก่กล้าแล้วก็ใช้ปัญญาประคองสติพิจารณาค้นคว้าใช่ไหมครับ” ผู้ถามพูด
             ไม่ต้องค้น ๆ
             “เอาสตินั้นมารับรู้อยู่ที่กิริยาทุก ๆ อย่างหรือครับ” ผู้ถามพูด
             ใช่ เขาเรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กิริยาเคลื่อนไหวทุก ๆ อย่าง เราสติมารับรู้
             “คือว่าไม่ต้องค้นแล้ว หรือครับ” ผู้ถามพูด
             เราไม่ต้องค้น เราจักลุกปั๊บขึ้นมาเราก็ไม่ต้องค้น เราจะลุกขึ้นมานี่เราลุกอย่างไร จึงจะเหมาะสมดีที่สุด โดยไม่ให้น่าเกลียด ไม่ให้คนอง อย่างนี้ เรานั่งอยู่งี้ บางทีเราเผลอใช่ไหม ถ้าเรานั่งแบบธรรมดา บางทีคุยกับคนอยู่ ไปคว้าไอ้นั่นจับค้อก ๆ ๆ แค็ก ๆ ๆ อย่างนั้น เราจะได้รู้อาการออกไปนี้ไม่ควร เราก็จะได้นั่งอยู่ปกติ อย่างนี้ก็ดี เราจะลุกขึ้นที่หนึ่ง จะนั่งที่หนึ่งก็ดี ให้เราพยายามรับรู้อยู่ในอาการเคลื่อนไหว เราจะหยิบจะวางของ เราก็ต้องรับรู้ เราไม่ต้องค้น
             “ครับ กระผมเข้าใจแล้วครับ” ผู้ถามพูด
             แล้วมีเหตุการณ์อย่างนี้ สมมุติเขาด่าเรา เขาชมเรา ความรู้สึกชนิดนี้จิตมันจะเป็นอย่างไร เราไม่ต้องค้นเราเห็นเลย ตัวความรู้สึก เราเอากำลังส่วนนี้เข้าห้ามปรามทันทีเลย จะไหวมันไหม มันจะอยู่ไหม เอาอย่างนี้ นี่นะ (คล้าย ๆ กับว่ามันเลย) เราเป็นศิษย์ที่มีครู เราเป็นอุบาสกตัวอย่าง ถ้าเราแพ้เหตุการณ์แล้ว ขายหน้าครูบาอาจารย์เรา ว่ามันอย่างนี้ดื้อ ๆ จิตมันจะกลัวเราไหม ถ้าอำนาจส่วนนี้กระตุ้นยุบ มันกลัวทันทีเลย อยู่ ไม่เอา เราก็ค่อยฝึกแบบนี้เรื่อย ๆ เป็นลำดับใช่ไหม
             “ครับ” ผู้ถามพูด
             อย่าไปค้น ถ้าค้นแล้วก็ไปกันใหญ่ละซิ มันก็ฟุ้งซ่านในธรรมนะซี่ อย่าไปค้น เราอยู่อย่างนี้
             “แต่สอนใจได้ ใช่ไหมฮะ” ผู้ถามพูด
             ต้องพยายามสอนใจเราได้
             “ครับ กระผมก็เข้าใจอย่างนั้น” ผู้ถามพูด
             นี่แหละ เราอย่าไปค้น แต่ทีนี้เราไม่ค้นเราจะเกิดปัญญาอย่างไร พุทโธ่ จิตของเรามันนิ่งเมื่อไร เดี๋ยวมันก็เกิดนึกถึงอันนั้น นึกถึงอันนี้ เราก็คอยห้ามปรามคอยเตือนมันอยู่ พอมันนึกถึงอารมณ์อันที่น่าเกลียดน่ากลัว มันก็เกลียดกลัวเราก็จะได้สอนมันบังคับมัน เมื่อมันนึกถึงอารมณ์ที่น่ารัก มันก็รัก เราก็จะได้หาวิธีสอนมัน งานนี้ทำได้ทั้งวัน เพราะจิตของเรามันนิ่งเมื่อไร แม้แต่นอนหลับมันยังฝันอีก นู่นนะ มันนิ่งเมื่อไรจิต เราทำงานได้ทั้งวัน บางคนว่าพุทโธ่ ถ้าไม่ค้นจะเอางานที่ไหนมาทำ ลองดูซี่ จิตมันคิดทั้งวัน นอนหลับแล้วมันยังคิด ฝันอุดตลุด เห็นไหม มันฝันก็คือมันคิดนั่นเอง นี่แหละเราทำงานได้ทั้งวัน เราก็ลุก ก็เหิน ก็เดิน ก็นั่ง ทำงานของเราทั้งวัน เราก็พยายามกำหนดรับรู้อยู่ในงานของเราอยู่ตลอดเวลา ต้องพยายามลองดูเถอะน่า แค่นี้พอเลยแหละ ลองดู นี่แหละ หลักสูตรของอาตมาง่าย ๆ นะ ฟังง่าย ๆ แล้วก็ทำก็ง่าย ๆ ด้วย แต่ว่าผลนี่
             “ถ้าทำเป็นจะนั่งหมดคืนได้ไหม” ผู้ถามพูด
             นั่งหรือ มันก็แล้วแต่เราซี่ เรานั่งได้ตลอดเหมือนกัน บางทีอาตมา ๓ เดือนไม่เคยนอนก็มี เดือนหนึ่งไม่เคยนอนก็มี สู้น่าดูเหมือนกันนะถ้าเราทำได้นะ ความง่วงเหงาหาวนอนไม่มี ไม่ใช่เราจะไปกดดันบังคับประสาทเรา นะ
             “ขอโอกาสครับ ๓ เดือน” ผู้ถามพูด
             ไม่นอนก็มีครับ แต่ที่นี้เราคล้าย ๆ กับว่าเรามีสมาธิเข้ากล่อม ส่วนประสาทส่วนนี้มันไม่ทึ่มครับ ปกติ เพราะเราไม่อิงประสาทครับ มันเฉยครับ โปร่ง
             ทีนี้ การทำของเรานี่นะฮะ พูดถึงการนั่งสมาธิของเรา ถ้าเราเข้าใจแบบนี้ไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปนั่งขัดสมาธิตั้งหกชั่วโมงไม่มีครับ มันฉลาดครับ พอเรานั่งเหนื่อยเราก็ลุกเดิน เพราะโดยจุดประสงค์ต้องการจะประคองสติของเราให้อยู่ในจุดที่เราต้องการ พอเราทำแปร็บ มันเหนื่อย ๆ แล้วเราก็ลุกขึ้นเดินครับ เดินก็เอาสัมผัส ก็เรามุ่งแค่นั้น เรามุ่งเพื่อต้องการจะคลุมสติให้อยู่ในจุดใดจุดหนึ่ง เวลาเราเดิน เราเอาสัมผัสก้าวของขาก้าวพุทโธ ๆ เราลืมตามองอยู่อย่างนั้นนะฮะ ต่อจากนั้นไปเราก็นั่งบ้างนอนบ้าง ไม่มีโอกาสใดที่เราจะบังคับตัวเองจนขนาดที่เรียกว่าให้เป็นโรคเหน็บชา ไม่มี เพราะไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เรานั่งทรมานนั่งจนให้มันตาย ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ให้ฉลาดในการเปลี่ยนอิริยาบถ ท่านถึงสอนในหลักโพธิปกิยธรรมยังไง ให้ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ คือว่าให้รู้จักการเปลี่ยนอิริยาบถ จึงจะเป็นไปเพื่อความสำเร็จ ถ้าเอาอิริยาบถเดียว เช่นนั่งอยู่อย่างเดียวอย่างนี้ก็เป็นไม่ได้ ต้องเปลี่ยนเดิน ยืน นั่ง นอน ก็ต้องเปลี่ยนกันเสมอ และเราก็พยายามกำหนดไว้ ให้จิตของเรารู้อยู่ในจุดนั้น ๆ เราก็เปลี่ยนอยู่เรื่อย ๆ ครับ ถ้าเรานั่งปุ๊บก็เอาปลายจมูก เรายืนปุ๊บ ก็เอาปลายจมูก เมื่อเวลาเราเดินทำ เดินจงกรมเราก็เอาสัมผัสของขาที่ก้าวลง ก้าวลงกับพื้น เหยียบพุทโธ ๆ ไป ก็แค่นี้แหละครับ แล้วก็ระวังอย่างเดียวอย่าไปกดดันตัวเองนะครับ พอมันแก่กล้าไปกดไม่ได้นะ นึกดูเกิดครับ โรคที่มีเชื้ออยู่ภายใน โรคมะเร็งปีกมดลูก เผาทีเดียวมันยังตายได้ เราเอามาสะกดเราทีเดียวประสาทจะไม่แย่หรอกหรือ นี่ให้ระวังเท่านี้แหละ
             ถ้าครูบาอาจารย์บอกว่า ถ้ามันทื่อมันชามันแน่นเอาเข้าซี่นิพพานมันอยู่เลยตาย อย่านะ อย่าทำนะ ตายจริง ๆ นะ ถ้าสติแก่กล้าจริง ๆ ตายจริง ๆ นะ ไม่ใช่ตายเล่นนะ หรือเป็นบ้าเพ้อทันทีเลย อาตมารักษามาเป็นสิบ ๆ แล้ว บอกว่านิพพานอยู่เลยตายนี่ เอาเข้าซี่ พุทโธ ๆ เข้าซี่ นี่อาตมาอยู่กับที่เรียกสอนไม่เป็นนี่ก็แย่เหมือนกัน ท่านอาจารย์ครับผมก็ทำไม่ค่อยจะไปจะทำอย่างไน ก็พุทโธ ๆ เข้าซี่ ผู้ปฏิบัติมันรู้เอง พุทโธ ๆ กฏเกณฑ์ไม่ได้บอกกันเลย จะก้าวอย่างไร ทำอย่างไร ให้พุทโธ อยู่เรื่อย ๆ มันจะได้เมื่อไหร่ แม้แต่สอนอย่างละเอียดอย่างพวกเราทำกัน มันยังทำยากครู นี่ขอให้ลอง ๆ ทำอุบายวิธีของอาตมาลองดู ๆ เดี๋ยวครูก็จะว่า โอ..ตายแล้ว มันแปลก แต่มันจริงนี่นามันคล้าย ๆ กับว่าหาจุดสำคัญ ๆ ที่จะให้เราเข้าใจง่าย ๆ ไม่ได้ ลีลาของการพูดของท่าน ๆ ก็ไม่ได้ฝึก แล้วก็ประโยควรรคตอนท่านก็ไม่ได้ฝึก ท่านก็พูดออกไป ความเข้าใจของท่านเข้าใจ แต่ว่าจะมาสมมุติอธิบายให้พวกเราให้แจ่มแจ้งไม่ได้ เท่าที่ฟังมาหลายวันแล้วนะ ฟังแล้วรู้สึกว่าท่านพูดดีเหมือนกันแหละ แต่ท่านพูดจุดใหญ่ ๆ ทีนี้ให้เราเอาไปพิจารณาเอา เช่นดุจในครูบาอาจารย์ที่ท่านมาสอน พวกเราต้องฉลาด พวกราให้เป็นแม่ครัว อันไหนควรไม่ควรให้พวกเราเข้าใจเอง พุทโธ พวกเราก็ไม่รู้ พวกเราจะไปจัดได้ไหมหละ ว่าอันนี้เป็นของดี ไม่ดี เหมือนพลอยนี่อย่างครูไม่รู้จักเลย มาเทเลือกเอานะครู อันไหนดีก็เลือกเอาอันไหนไม่ดีก็ทิ้งไว้ที่นี้แหละ ครูจะรู้ไหมว่าอันไหนมันดี ก็เรามันไม่รู้ได้เป็นลูกศิษย์ จะมาเทให้เรา ๆ จะไปเลือกได้อย่างไร เออ..เราต้องเลือกให้ซี่ อันนี้เป็นอันนี้ อันนี้เป็นอันนี้ ต้องเลือกออกเป็นกอง ๆ อันนี้มีราคาอย่างนี้ ๆ ก้อนนี้เป็นอย่างนั้น อันนั้นเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องว่ากัน รายละเอียดออกมาเลย ขนาดนั้นมันยังฟังไม่รู้เรื่อง ยังจะมาเทพรวด เอาเลือกเอานะ ทั้งที่คนไม่เคยเห็นพลอย ให้เลือกเอาพลอยนี่ มันก็เสร็จเท่านั้นเอง นั่นแหละฉันใดก็เหมือนกัน จะมาว่าหว่าน ๆ แล้วแต่จะมาเลือกเอานะ ให้ฉลาดเลือกเอา โอ๊ย..ได้ยินอย่างนี้ตายแล้ว ๆ ผมได้ยินมาจนเบื่อ
             “ขอโอกาสครับ กำหนดจุด จมูกดีกว่าที่อื่นหรือครับ” เถ้าแก่ถาม
             จมูกนี่นะแน่ รู้สึกว่าดีมาก ถ้ากำหนดจมูกนี่ดี
             “ถ้าเรามากำหนดที่หน้าท้องไม่ดีหรือครับ” เถ้าแก่ถาม
             ได้เหมือนกัน โดยมากเมื่อเวลาเอาต่ำอย่างนี้ มันจะคอตก อย่างเถ้าแก่นั่งโดยมากมักจะคอตก โดยมากเขาเอาส่วนสูง เมื่อเวลานั่ง อาตมาไม่ตกนะ อาตมาไม่ตก ถ้าเอาปลายจมูกตกยาก ถ้าเอาปลายจมูก งึกคืนข้างหลังเท่านั้นเอง ถ้าจะไปมันไปทางหลังเลย มันยิงไปทางหลังไปเลย ถ้าตกนี่ยาก
             “ผมเป็นสองคืนแล้ว งึกไปทางหลัง สองคืนเลย” เถ้าแก่ถาม
             ถ้ากำหนดสูงนะงึกหลัง กำหนดสูง ถ้ากำหนดปลายจมูกงึกทางหลัง รู้ตัวเลย งึกรู้ตัวแล้วก็ตั้งสติได้ ถ้ากำหนดที่ท้องนี่ไม่รู้นา ลงไม่รู้หรอก ลง ๆ เดี๋ยวก็หมอบลงแล้ว มันไม่ค่อยรู้
             “อันไหนจะดีมากกว่ากันครับ” เถ้าแก่ถามถ้าปลายจมูกมันก็สูงกว่า ตั้งให้ตรงพองึกปึ๊บ วึ้บเลยทันทีเลยรู้ ลองดูท่านลองดู ผมนี่เคยสอน อย่าว่าเลยครับคนที่เข้าใจดี ๆ ละเอียดลออ เมื่อเราสอนอธิบายให้ฟัง เข้าใจได้ง่าย และการปฏิบัติง่าย เมื่อทำแล้วได้รับผลคุ้มค่า หลายคนนะครับ ไม่ใช่สอนคนสองคน คนใหญ่ ๆ โต ๆ ผมก็เคยสอน แล้วทำแล้วได้รับผล แม้แต่คนอื่นทำไมเราบังคับเขาได้หละ เราเป็นคนแท้ ๆ เดินเข้าไปนะ บังคับให้เขาเห็นเราเป็นหมี เห็นแล้ววิ่งป่ารูดเลยครับ
             แล้วคนหนึ่งครับชอบยิงสัตว์ เก่งครับ ยิงอีเก้ง กวาง หมู โอ้โฮ..ผมสงสาร นายอู๋นี่แหละ ยังมีชีวิตอยู่ครับถ้าเจอกันถามก็ได้ครับ ผมบอกว่าโยมอู๋วันนี้ไปถางป่านะ ถ้ากวางมันไปยืนดูอย่าฟันมันนะโยมอู๋นะ ..ครับ.. เขาว่า แต่แท้ที่จริงไม่ใช่กวางหรอกครับ คือว่าผมนี่แหละครับเข้าไปนะครับ ไปสะกดบังคับจิตของเขาให้เขาเห็นผมนี้เป็นกวางยืนมองหน้า พอผมยืนมองหน้าเขา ทั้ง ๆ ที่ตัวของผมเอง แต่เขามองเห็นเป็นกวางทันทีครับ เขาทิ้งมีดขอเลยครับ ตีนอ่อนมืออ่อนทำงานไม่ได้ งง โอ๋..ท่านอาจารย์ท่านบอกว่ากวางนั้นจะมาดูหน้าเรา เกิดมาจริง ๆ ตาย มีดขอทิ้งเลยครับ ทำงานไม่ได้ เดินกลับบ้าน พอเดินกลับบ้านไปเล่าให้หมู่ฟัง เดินกลับบ้านเลยแวะไปหาผม ไปกราบผม บอกว่าโอ๊ย ครับผมแย่ ถามว่าแย่อะไร กวางไปยืนมองผมครับ ผมกำลังถางป่า เศร้าสลดผมครับ แหม..ผมฆ่ามันมากเสียด้วยครับ ผมเศร้าสลด ผมเลยไม่มีกำลังที่ทำงานเขาว่าครับ ผมบอกว่าวันนี้ระวังนะ มันจะเดินเข้าไปถึงบ้าน ถ้าไม่ยิงแล้วรับรองจะไปนอนใต้ถุนบ้านให้ดูเลยวันนี้ คอยดูกวางจะไปนอนใต้ถุนบ้านให้ดูดี ๆ นะ ดูมันอยู่นะ มันน่าเศร้าสลดบ้างไหม ที่เราไปฆ่ามันไปยิงมัน ระวังตัวมันให้ดี ๆ ผมเลยเตือนเขาอย่างนี้แหละ แท้ที่จริงก็ผมเองแหละครับ ไป พอผมเดินไปอย่างนี้คนอย่างนี้ไม่ใช่คนเดียวนะฮะ นั่งเต็มบ้านมาฟังนายอู๋เล่าเรื่องกวาง เห็นกันทั้งหมดเลยครับ กวางเดินเข้าไปงุ่ม ๆ เข้าไปยืนมองเขาอีก อู๋นี่..ยิ่งเศร้าสลดใหญ่เลยครับ ไม่รู้จะว่าอย่างไร คนหนึ่งชื่อนายไทยครับ คว้าปืนมาฮะจะมายิง โชคดีครับ คว้าไปเลยไม่ได้ปืนครับ ด้วยตามองครับเลยคว้าไปไม่ถูกปืน ถ้าถูกแล้วน่ากลัวยิงผม ผมก็เลยเล่าว่า เอ๊..ถ้าจะไม่ดี ผมก็เลยเดินถอยออกมา พอเดินออกมาขี้โคลนมันเปรอะขาผมก็เลยไปล้างขี้โคลนฮะ ปุ๋มป๋ำ ๆ เขายังบอกว่าไปยืนลุยน้ำ ตุ้มต้ำ ๆ อยู่ ยังงั้นเสียอีกครับ ผมก็เลยเดินกลับครับ แหมครับพูดกันเสียลั่นหมดครับ คล้าย ๆ กับเล่าลือเป็นการใหญ่ โอ๊ย..สมัยนั้นผมเล่นมาก เอาจนนายอู๋นี่เศร้าสลดครับไม่กล้ายิงเลยครับปืน เปอน ตีต้นไม้หัก นั่นลองคิดดู อันนี้มันเป็นผลพลอยได้ เราสามารถที่จะบังคับจิตของคนนี้ ให้เห็นเราเป็นหมี แล้วเราบังคับจิตของเราเองนะ อันนี้เป็นทุกข์ อันนี้เป็นไปเพื่อภพชาติ อันนี้เป็นไปเพื่อกิเลสตัณหา อันนี้เป็นสิ่งที่พระอริยเจ้าท่านตำหนิ ถ้าเราว่าเพียงแค่นี้จิตของเราจะลงทันที ยุบไม่เอาเลยครับเป็นอย่างนั้น และต่อจากนั้นไป อันนี้กิเลสนะ อันนี้ทุกข์นะ มันเกิดรู้ขึ้นมาแล้วจิตของเรามันจะงอแงไปได้อย่างไร มันไม่ไป แม้แต่กิริยาอาการที่จะคนองออกมาสักหน่อยหนึ่ง มันคนองไม่ได้ คนองแปร็บ เผลออย่างนี้มันยังสะดุ้งสุดตัวเลย มันไม่เอา มันละเอียดลง ๆ ละเอียดจนอย่างที่ผมว่านะฮะ บวชมายี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี ผมเองก็เป็นคนที่เรียกว่าชอบทำอันโน้นอันนี้ล้างขวดล้างแก้ว ไม่เคยแตกนุ่นแน่ครับ ว่าอย่างนั้นก็แล้วกัน นี่ครับความสมบูรณ์มันก็มีเพียงแค่นี้ ถ้าเราพูดกันมากนักมันก็ยืดยาวนะ อยากจะให้พวกเราไปทำกัน ถ้างั้นเดี๋ยวไปทำกัน นี่ฟังตอนสุดท้ายแล้วนี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะได้ฟังเทศน์ท่านอาจารย์ใหญ่ จะได้ฟังเทศน์อาจารย์มหาด้วย ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เอา ดีแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็จะได้เอากันใหม่ พรุ่งนี้ก็เดี๋ยวฟังเทศน์ท่านอาจารย์คนนู้นมา คนนี้มาประชุมแล้วก็จะได้เลิกได้ลากัน เอาแค่นี้แหละสั้น ๆ ครับ
             “กระผมอยากฟังการสรุป คล้ายกันกับว่าสรุปเข้ามาให้สั้นเข้ามาอีกนิดเดียว สรุปหัวข้อใหญ่เลยครับ” ผู้ถามพูด
             มันก็ไม่ยากนี่ครับ ก็เพียงแค่ที่เรียกว่าสติให้สมบูรณ์ขึ้น หรือถ้าจะประกอบเข้าอีกเรียกว่าสัมปชัญญะ คำที่ว่าสัมปชัญญะนี่หมายถึงตัวปัญญา แต่ว่าเขาเรียกว่าสติสัมปชัญญะ หรืออาจจะเป็นสติปัญญาก็ได้ แต่เป็นตัวเดียวกันนะฮะให้สมบูรณ์ ให้สมบูรณ์ก็อย่างที่ว่ามา คือว่าให้สตินี่ สติคือตัวระลึกรู้นะฮะ เมื่อจิตของเราจะออกไปคิดข้างนอกนี่ก็ให้ระลึกรู้ให้ทัน หรือหากมันไม่ทัน มันออกไปคิดล็อกแล็กลอยลมอยู่ที่ไหนก็ตาม ให้เข้าจุดทันทีเลยครับ นึกถึงจุดกร็อบ ปลายจมูกทันทีมันก็เป็นอันว่าทางนู้นก็หมดนะฮะ
             “ควบคุมสติให้อยู่ในจุดที่ต้องการ” ผู้ถามพูด
             ฮะ ๆ คือว่าให้สติกระตุ้นความรู้สึกเอาง่าย ๆ นะฮะ สติกระตุ้นความรู้สึกให้รับรู้ในจุดใดจุดหนึ่งที่เราเอาเป็นเป้าหมาย แล้วมีบริกรรมภาวนาเป็นสิ่งประกอบคือ พุทกับโธ เพียงแค่นี้แหละครับให้อยู่ได้โดยที่เรียกว่อาศัยสติให้มีกำลังเหนือจิต กระตุ้นความรู้สึกให้รับรู้อยู่ในจุดนั้นให้ได้ตลอดเวลา เท่านั้นนะฮะ เสร็จแล้วก็เอากำลังตัวนี้มาแต่กิริยาเคลื่อนไหวของกาย พร้อมทั้งวาจาที่พูดเท่านั้นนะฮะ แค่นี้ก็พอแล้วครับ ต่อจากนั้นไปได้ผลเองครูไม่ยากหรอก ไม่ยาก
             “กระผมขอโอกาสสักเล็กน้อยครับ เวลาจะเคลื่อนไหวกับอริยาบถต่าง ๆ มันมักจะมารวมอยู่ที่จุดที่สำรวมไว้ครับ ตอนที่กำหนดที่ปลายจมูก เวลาเดินก็ใช้อิริยาบถตามเท้าสัมผัสนีมันมักจะมารวมที่ปลายจมูกอย่างเดิม จะแก้ไขอย่างไรครับ” ครูถาม
             เราต้องหาวิธีที่ คือว่าถ้าเรารวมอยู่จุดเดียวมันไม่ค่อยจะเกิดปัญหาการจับแต่งไม่เก่ง เราตอ้งพยายามหมุนให้ได้รอบด้าน เช่น เราจะหยิบของให้มันเกิดมีความรู้ขึ้นทันที กรุ๊ป มันเกิดระลึกรู้ กรุ๊ป แต่มีนรู้ขึ้นที่จิตนี่แหละ แต่ทีนี้ให้เราระลึกให้ทัน และเวลาเราเดินเราก็ต้องฝึก ๆ ก้าว พุทโธ ๆ ให้มันได้ ถ้าทำไม่ได้มันอยู่ที่ปลายจมูกตลอดเวลา ๆ เราจะใช้งานไม่ทัน เราต้องให้ทัน แต่ความจริงความรู้มันก็รู้จากจิตแต่มันฉายแสงออกมา คล้ายกันกับว่า เราจะหยิบของปุ๊บทันทีเลยว่า ของที่เราหยิบ อย่างท่านอาจารย์มั่น นี่ท่านหยิบปุ๊บ สมมุติว่ากระโถนนะ ท่านหยิบปึ๊บยกขึ้นมามือของท่านต้อง สมมุติจะหยิบก็แล้วแต่ เอ้า..ท่านก็เวลาท่านจะวางนี่ท่านจับโดยเอามือรองเลย ท่านวางปุ๊บ ท่านออกแหมมันต้องจับกระโถนทำ แหม..ท่านทำดีจริง ๆ เวลาจะกราบขอให้เราเอาจุดที่ตั้ง เช่น พอเราจะกราบปุ๊บ เราต้องนึกถึงท่าเบญจางคประดิษฐ์ก่อน ไม่ใช่ปุ๊บ ปั๊บกราบเลย นั่งคุกเข่าปุ๊บ ให้ห่างกันพอสมควร เสร็จพนมมือขึ้นแค่หน้าอกก่อน เราต้องนึกว่าเราจะกราบให้โดยที่เรียกว่าเป็นผู้มีสติกราบแหละ จะกราบอย่างไร ให้นึกว่าอย่างนี้ ยกมือขึ้นมาปั๊บก็พยายามเอาหัวแม่มือกดเข้าที่คิ้วก๊อก ปลายข้างบนนี้ก็ให้จดพอดีเลย ขนาดนี้พอดีเลย ถ้าเผลอมันก็อาจจะเลยบ้างอาจจะแค่นี้บ้าง ก็แล้วแต่มัน ก็แสดงให้เห็นว่า เอ๊ะ..นี่ขาดสติเสียแล้ว ไม่เอา เราก็เอาใหม่ ต้องนั่งประนมมือ แล้วยกขึ้นมา แล้วก็เอาลงกราบไปแล้ว เวลาเอาก็ให้แค่อก ถ้าเอามาปึ๊บเราเผลอ เอ้อ..ผิดแล้วเอาใหม่ บังคับอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วก็อันนี้มันจะสมบูรณ์ นี่วิธีที่เราเคลื่อนออกมาใช้ ถ้าหากเรากำหนดจุดไหน มันจะอยู่จุดนั้นตลอดเวลา แต่ทีนี้เราพยายามหาอุบายวิธีเอาออกมาใช้ โดยที่เรากราบแล้วก็เอามา เอาขึ้น เมื่อเราสมบูรณ์อันนั้นแล้ว เราก็สังเกตดูเวลาเดินไปอย่างนี้เดินไป มันมักจะมองวอกแวก หยุดเอาใหม่ เราเดินไปแล้วถ้าเราจะมอง ถ้าเป็นสมณะท่านบอกว่าไปถึงทาง ๔ แพร่ง หรือ ๓ แพร่ง ก็ยืน แล้วก็มองดู อันตราย ไม่มีแล้วก็เดินไป ท่านไม่ให้ทั้งเดินทั้งมอง ท่านบอกว่าท่านปรับอาบัติ เมื่อเวลาเดินไป สมมุติว่ายืนก่อนครับ สมมุติเรามองไปถึงทางที่ ๆ เราจะข้าม กลัวจะมีรถและมีควายเราก็ยืนมองเสียก่อน ไม่มีเราก็ตั้งหน้าเดินไปเลย อันนี้เราก็ต้องพยายามทำให้เป็นไปตามรูปนี้ ทีนี้สำหรับเราจะคุยกับคน สมมุติหญิงก็ตามชายก็ตามเราฝึกเอาไว้ เราก็อย่าไปมองหน้าเขา ทอดสายตา ๔ ศอก หรือว่าอาจจะสั้นกว่านั้นก็ได้ พยายามคุยธรรมดา เราคุยไปเลยครับ เราประคองเราไว้ พยายามคุยให้เป็นปกติ ถ้าคุยในบางคราวบางลักษณะนี่เราอย่าโยกโคลง เราพยายามคุยแบบนี้กดไว้ คุยธรรมดา ๆ ถ้ายิ่งทำได้อย่างนี้ยิ่งดี พระพุทธเจ้าไม่โยคโคลงครับ พยายามกดคุย บางคนคุยนี้ต้องโยคต้องว่า มือไม้อะไรต่ออะไร เราต้องพยายามกดดันเอา เราจะคุยแบบบัณฑิต คือพระพุทธเจ้า เราก็คุยพูดธรรมดา ๆ อย่างนี้ยิ่งดีใหญ่ครับ
             “คือไม่พยายามมองหน้าเขานะฮะ” ถาม
             ไม่มองหน้าเขา แล้วก็ไม่โยคไม่โคลง
             “ถึงแม้ว่าจะเป็นหญิงชายก็ตาม” ถาม
             หญิงชายมันก็ตาม ยิ้ม ๆธรรมดา โอ้..คุณมานะอย่างนู้นอย่างนี้ก็ว่าไปตามเรื่อง คิดดูว่าผมอยู่กับพวกแม่ชีนี่ครับ ผมยังจำไม่ได้หมดแม่ชีชื่อยังไง วันนั้นแม่ชีเขามาหาผม อ้าว แม่ชีนี่มาจากวัดไหน เออ..ฉันก็บวชอยู่ที่วัดนี้และแม่ชีเขามาหาผม ๆ ยังบอกเณรให้มาต้อนรับว่าแม่ชีมาจากยางระโหง เขาบอกว่าไม่ใช่ ฉันชีม่อม เขาว่าผมถึงขนาดนั้นนาครับ ความที่เรียกว่าผมไม่ได้มองหน้าคนนี่ครับ ร้ายถึงขนาดนั้นนาครับ ยิ่งสมัยที่ผมบำเพ็ญใหญ่ ๆ นี่ผมยิ่งไม่มองใคร ผมพยายามสะกดจิตใจของผมอยู่ตลอดเวลา ผมนั่งเฉย การพูดการคุยนี้น้อยที่สุดครับ ผมไม่ค่อยเอา แม้แต่ผมจะทำงานการอะไรก็ตามครับ คำที่ว่าคนองของผมไม่มี จะแบกไม้แบกอะไรก็แล้วแต่ ผมจะต้องคลุกของผมอยู่ตลอดเวลา ให้คำที่เรียกว่าสุขุมนะฮะ มีอยู่ในตัวครับ คำที่ว่าคนองนี้ไล่ออกทันทีครับ ไม่ยอม ผมทำของผมอยู่อย่างนี้ตลอด ถึงผมได้เจริญงอกงามขึ้นมา และการกระทำของผมนี่บรรดาครูบาอาจารย์ที่เรียกว่าเชี่ยวชาญสามารถ เข้มแข็ง ที่ทำร่วมกันกับผม ๆ ไม่เคยเห็นองค์ไหนที่จะเข็มแข็งเท่าไรนัก เข้มแข็งหรอกวันสองวันทำท่าโครมครามตูมตามไม่หลับไม่ฉันข้าวฉันปลาก็มี แต่มันทำไม่เป็นนิตย์ครับ อย่าของผมนี่ผมทำของผมตลอดเวลา ของผมนี่ตลอดจริงครับ เช่น กลางวันนี้ผมไม่นอนเลยครับ ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นผมไม่นอน ผมจะต้องเดินจงกรมทำสมาธินอกนั้นจะซักผ้าเช็ดเท้าบ้าง แล้วก็ทำความสะอาดตรงนู้นบ้างตรงนี้บ้าง ยักไย่แมงมุม ผมเป็นคนเกลี่ยครับ ใยแมงมุม แล้วก็ร้านพระนี่สกปรกไม่ได้ครับ ผมต้องทำของผม เพราะฉะนั้นถึงว่าการกระทำของผม ๆ เชื่อว่าผมเข้มแข็งมาก ตลอดจนอุบายวิธีที่แสวงหาบุญเป็นส่วนภายนอก ผมก็รู้สึกว่าพระเณรที่อยู่ร่วมกันสำนักท่านอาจารย์มั่นก็ดี กับอาจารย์อื่น ผมเชื่อว่าเหนือหลายองค์มาก การสะสมของผมนี่แหละการทำได้ดีแหละครับ ถึงเป็นเหตุให้มีประสิทธิภาพหลายอย่าง จนมีอย่างที่ว่านะฮะ ความดีที่เรากระทำนี่มันทำให้แปลกมนุษย์ แม้แต่ผมโกนทิ้งไว้ในกล่องมันก็แปลกไปแล้วครับ ลองคิดแค่นี้แหละครับไม่ต้องคิดอะไรมาก อันนี้พวกเราก็คงจะเข้าใจว่าไม่มีอุบายนะครับ ในเรื่องผมนี้ไม่มีอุบาย แต่ก่อนผมดุนะครับ ใครมาเอาผมก็ดุ จนพระเณรยกกล่องมา ขอนิมนต์พิสูจน์อันนี้ซี่ครับ เดี๋ยวผมเก็บไปไว้พิสูจน์ คือนี่แหละครับมันเป็นอย่างนี้ ไม่รู้มันเป็นอย่างไร ผมว่าแปลกจริง ๆ ผมก็ชักสะดุ้งเหมือนกัน ทำไมเป็นอย่างนี้ ถามว่าไม่ได้เอากาวมาใส่หรือ-ไม่ – นี่เดี๋ยวให้ผมดูก่อนซี่เดี๋ยวเขาเกิดมาพิสูจน์เข้ามีกาวมีเกอวเดี๋ยวเสียนะ ผมเอามาจับดูบางอันนิ่ม ๆ เพราะว่ามันยังไม่เต็มที่เลย แต่กลมแล้วนะยังนิ่ม บางอันแข็งเป๋ง ที่เป็นอ่อน แข็ง แต่ทีนี้เราดึงออกมาอย่างนี้มันก็ร่วงออกมา ไม่มีกาว แต่เราปล่อยไว้มันก็เข้า
             นี่แหละเล่าเรื่องจริงสู่กันฟัง ไม่ยากหรอกครับทำง่าย ๆ ครับ ถ้าใครสอนเป็น คนไม่รู้หรอกครับ มันถึงได้ลามปามทั่วป่าทั่วรก ถ้ารู้แล้วมันสั้น ๆ ครับ สั้น ๆ นิดเดียว นั่นแหละ ดูเอาเถิดครับ ถ้าว่าไม่แปลก แม้แต่ผมมันยังแปลก เล่าเรื่องจริงสู่ฟังวันนี้

ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ - ....


หน้าแรกธรรมะ
กระดานข่าว
ลงสมุดเยี่ยม
อ่านสมุดเยี่ยม
ผู้เขียน

เชื่อมโยงกัลยานิมิตร >>
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว / สมเด็จพระมหาสมณเจ้า / พระนิพนธ์สมเด็จพระญาณสังวร / พุทธประวัติ, พุทธโอวาท / ธรรมะพุทธองค์ / พุทธศิลป์ โดย อ.เฉลิมชัย / ธรรมะจากพระป่า / กองทัพธรรมพระกัมมัฏฐาน / ประวัติหลวงปู่มั่น / หลวงตามหาบัวช่วยชาติ / จังหวัดจันทบุรี / อำเภอนายายอาม / รอยยิ้มของพ่อ

เหมาะสำหรับจอภาพที่แสดงผลที่ 800 x 600 และเพื่อความสวยงามยิ่งขึ้นหากแสดงผลที่ 1024 x 768 (Microsoft Internet Explorer)
วัดเขาสุกิม
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2543

พัฒนาและออกแบบโดย นายทวีศักดิ์ รัตนคม    
ติดต่อสอบถามได้ที่ webmaster@khaosukim.org   
และทาง msn ได้ที่ hs2wjo@hotmail.com