หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
ประธานสงฆ์วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี

เรื่อง : การตรัสรู้ธรรมที่ไม่เหมือนกัน

            ที่นี้มาพูดกันอีกอย่างหนึ่ง ไอ้เรื่องความตายก็เป็นของสำคัญปัจจุบันนี้ก็ความเป็นอยู่ของพวกเราก็พอที่จะทำความพาก ความเพียรได้ เพราะมองถึงร่างกายสังขารถึงแม้บางท่าน บางคนจะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามปัจจุบันนี้ก็ไม่ถึงขนาดล้มหมอนนอนเสื่อเป็นยังมิโอกาสที่จะบำเพ็ญความดีได เพราะฉะนั้นจึงขอให้รีบเร่งซะ อย่างไปผลัดวันประกันพรุ่ง เพราะความตายไม่สู่ที่จะแน่นักอาจจะมาถึงวันไหนก็ได้ เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นที่ซึ่งควรจะเตือนตัวเองอยู่เสมอ พยายามนึกถึงเรื่องความตายให้บ่อย ๆ ซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้น และชวนเรานี่ให้รีบทำความดีอันนี้เป็นสิ่งที่เราจะนำคิด และอีกทีหนึ่งพูดถึงลัทธิข้อปฏิบัตินี้มันก็เป็นของ ถ้าจะมองให้ดี ๆ นะก็เป็นของลึกซึ้งเป็นของที่เรียกว่า จะว่าง่ายก็ถูกจะว่าอยากก็ถูก แต่ก็ไม่เหลือพฤติวิสัยสำหรับผู้ศึกษาและปฏิบัติเพราะเท่าที่มอง ๆ ถึงผู้สำเร็จตามพระพุทธเจ้าก็มีมาก ก็ไม่ได้จัดระดับเป็นเบื้องต้นเป็นผู้ฉลาดอะไรนัก ฉลาดก็มี แต่มันขึ้นอยู่บุญญาวาสนานั้นเป็นการหนึ่งแล้วขึ้นอยู่การฟังออกนี้การหนึ่ง สำหรับผู้ที่ฟังเข้าอกเข้าใจในลัทธิข้อปฏิบัติสูตรหัวข้อปฏิบัติหากในเมื่อมองเข้าใจชัดในการปฏิบัติก็ไม่แวะ ไม่วน เมื่อตรงต่อสายต่อแนวได้ง่าย ทีนี้ถ้ามองอีกอย่างหนึ่งผู้ที่อบรมสั่งสนอยู่นี้ก็รู้สึกว่ามอง ๆ ถึงความเป็นอยู่ก็ไม่สุดที่จะแน่นักว่าจะไปได้เท่าไร อันนี้ก็ยิ่งเป็นเหตุที่จะให้พวกเรารีบเร่ง เพราะว่าหากในเมื่อพวกเราบำเพ็ญในรูปแบบนี้นั้น เมื่อมีความขัดข้องสงสัยเป็นส่วนภายในแล้วยากที่พวกเราจะไปศึกษาจากครูบาอาจารย์อื่น ๆ ถึงแม้ท่านผู้ที่เข้าใจในรูปข้อปฏิบัติแบบเดียวกันนี้ก็ตามมีอยู่จำนวนน้อย และพวกท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็มักเข้าไปในป่าไม่ใช่ออกมาแสดงลวดลาย หรือแสดงตนในที่ชุมชน หรือความหมายว่าเป็นผู้หลหนีจากฝูงชนมุ่งเพื่อจะเอาตนลอดเท่นั้นในอุบายวิธีจะมุ่งเทิดทูนพระพุทธศาสนา หรือนำพาให้พระพุทธศาสนามีอายุยืดยาวนั้นพวกทานทั้งหลายเล่านันเท่าที่สังเกตดูแล้วไม่คิด เพราะมันว่าอยู่ในยุคพระพุทธศาสนาคล้อยเอียงนักไม่มีความสามารถจะแบก หรือต้านทานได้ เพราะอย่างนั้นพวกท่านทั้งหลายจึงเห็นว่าควรจะเข้าป่าดีกว่า ซึ่งเสอมพวกเราเองแค่นี้ก็พอมองออกความสกปรกของด้านจิตใจของยุคนี้ สมัยนี้เท่าที่มองสังเกตดูแล้วไม่เหมือนสมัยโบราณเท่าไรนักถึงแม้สมัยโบราณอาจจะมีความปกปรก หรอทะเยอทะยานดิ้นรนแบบโลกีย์วิสัยจนไม่เหลียวแลถึงความดีอันที่จะสร้างไว้ เพื่อเป็นกำลังอุดหนุนของชาติต่อไปนั้น ถึงแม้จะมีอยู่มันก็น้อย แต่สำหรับปัจจุบันนี้รู้สึกคนฟุ้มเฟ้อเห่อเหิมไปตามโลกมาก เนื่องจากความเป็นอยู่ของโลก มีหลายสิ่งหลายอย่างล่อลวง และดึงดูดจิตใจพร้อมทั้งสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ นา ๆ อันที่ชัดชวนจูงให้ผู้นั้นไปตามรูปแบบนั้น พร้อมทั้งการครองชีพการเป็นอยู่สมัยนี้ พวกเราทุกคนก็พอที่จะมองเห็นได้ว่ามันฝืดเคืองมาก เพราะมันจึงจำเป็นที่จะทำจิตใจของมนุษย์ ผู้ที่มีวาสนาบารมียังอ่อน ซึ่งจะมัวสุม และมองไปในทางที่จะต้องดิ้นรนในทางเสบียงของร่างกายเป็นใหญ่ เพราะกลัวอดอยาก กลัวหิว กลัวลำบากกว่าฐานะจะไม่เสมอบ่าเสมอไหล่ เพื่อฝูงอับอายขายขี้หน้าในแนวคิดแบบนี้ ชวนให้เป็นไปตามวิสัยของสามัญชนทั้งหลายเหล่านั้น ที่นี้หากในเมื่อหากในเมื่อหวนมาพิจารณาถึงอย่างนี้แล้วนั้นพวกเราก็พอที่จะมองเห็นบุญญาวาสนาของมนุษย์ และความดิ้นรนของมนุษย์ และความเป็นอยู่อันที่ไม่ต้องดิ้นรน และซึ่งมีความจำเป็นมาก พร้อมทั้งอุบายธรรมมะที่จะให้พอที่จะเป็นไปได้ไหม ท่านก็จะมาพิจารณา หรือกลั่นกรองดีแล้ว เพราะนั้นพวกท่านทั้งหลายเหล่านั้นจึงจะถอนตนออกจากการที่จะดำเนินอย่างนี้เข้าไปสู่ป่า เพื่อเอาตนลอด โดยเฉพาะตัวอัตตัตถะประโยชน์เป็นใหญ่ เพราะนั้นจึงจำเป็นมากพวกเราหากในเมื่อต่อไปครูบาอาจารย์ไม่มีแล้วจะไปหวังพึ่งครูบาอาจารย์องค์อื่นนั้น ผู้ที่เข้าใจในลัทธิข้อปฏิบัติแบบพวกเรา ๆ ที่เข้าใจอยู่นี้นั้น มีจำนวนน้อยเหลือเกิน และโอกาสที่พวกเราจะแสวงหานั้นเท่าที่มองสังเกตดูแล้วไม่สะดวกเท่าที่ควร ยุคสมัยก่อนการแสวงหาสถานที่บำเพ็ญ การแสดงหาครูบาอาจารย์สะดวกมาก ง่ายมาก เนื่องจากว่าความเป็นอยู่ของบ้านเมืองนั้น พวกเราก็พอที่จะมองเห็นได้ การไปเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์เสี่ยงต่ออันตรายมาก พวกป่าสรุปแล้วเป็นคอมมิวนิสต์ เขาก็นึกว่าพวกเราผู้เข้าไปแสดงหาครูบาอาจารย์เป็นหูเป็นตาให้แก่ทางรัฐ ซึ่งไปสอดส่องถึงความเป็นอยู่ของเขา ซึ่งอาจจะนำเรื่องของเขาทั้งหลายเหล่านั้นมาบอกแก่เจ้าหน้าที่ อาจจะไปโจมตีได้ง่ายอะไรเหล่านี้เป็นต้น ความละแวงของพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้น อาจจะทำไม่ได้สะดวกแก่การแสดงหาความดีสำหรับพวกเราผู้แสวงหาครูบาอาจารย์ อาจจะไม่สะดวกสบายนัก ที่นี้ถ้าหากยิ่งเราเข้าไปอยู่ในป่ารก ไปแสวงหาครูบาอาจารย์นั้น ยิ่งทำให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐบาลมีความสงสัยว่าพวกเรานี้ อาจจะมีนโยบาย หรือแนวคอมนิสต์ อาจจะมีความคิดเห็นนั้น สรุปทั้งหมดรวมทั้งความไม่สะอวดสบายทั้งนั้น อาจะภัยอันตรายได้ง่ายเพราะนั่นโอกาสปัจจุบันนี้สะดวกมากซึ่งพวกเราจะจับกลุ่มกันอยู่สถานที่นี้แล้วก็ตั้งหน้าบำเพ็ญประฤติปฏิบัติไป หากในเมื่อขัดข้องสงสัยว่าอะไร ซึ่งเป็นผลของสมาธิส่วนลึกลับส่วนภายในกับยังสะดวกสบายเพราะครูบาอาจารย์ยังมีอยู่ พอที่จะชี้แจงแนวทางให้ได้ ว่าอันไหนถูกอันไหนผิด ควรจำดำเนินการอย่างไรจึงจะเป็นอุบายวิธีที่จะแยกคายต่อไปอีกอะไรเหล่านี้เป็นต้นเพราะฉะนั้นอยากจะให้พวกเราเหล่านี้ได้รีบเร่งซะ ตั้งใจซะ ศึกษาให้เข้าใจซะ แล้วตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้ได้ผล ขัดข้องสงสัยอะไรพวกเราจะได้แก้ไขได้สะดวกสบาย ไม่จำเป็นพวกเราจะปล่อยให้เนินช้า จนกระทั้งขาดครูบาอาจารย์ไปแล้ว พวกเราแตกต่างกันแล้ว ไม่รู้จะไปพึ่งพาครูบาอาจารย์ที่ไหน อันนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราตั้งใจเถอะรีบเร่งเถอะ ที่นี้ในอุบายวิธีการทำสมาธินี้ต้องพยายามสร้างกำลังอำนาจคุมครองให้พอ แล้วก็สร้างกำลังอริยมัคคุเทศก์ที่จะประหาร หรือว่าตัดกระแสความในระหว่างจิตกับอารมณ์ให้ได้ พยายามเร่งขึ้นมาให้พอกับความต้องการ แต่การกระทำสมาธินี้ไม่ใช่เรื่องที่เรียกว่า งายจนเหลือเกิน ซึ่งเป็นของอยากพอสมควร เพราะจะต้องเป็นไปด้วยความละเอียดอ่อน ความละเอียดความละออ ความเยือกเย็น ไม่ใช่ร้อน เพราะฉะนั้นจึงว่า ควรที่พวกเราต้องรีบพยายามซะ เพราะไม่ใช่ของที่จะทำอย่างยุนผันง่ายดายจริงอยู่อย่างครูบาอาจารย์บางองค์ตลอดบทความบางตอนที่ครุบาอาจารย์ท่านเขียนไว้การทำสมาธิเป็นของง่าย ๆ สำหรับผู้ที่มีบุญญาวาสนา นึกถึงในยุคสมัยกระโน้น ซึ่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ผู้ฟังธรรมะต่อพระพักตร์ของพระผู้มีพระเจ่ารู้สึกสำเร็จโดยรวดเร็ว อันนั้นเป็นบทเขียนเฉย ๆ หรือเป็นคำพูดของผู้ที่ทรงจำ จากครูบาอาจารย์บอกเล่าแย่ ๆ ถ้าจะว่าตามความเป็นจริงแล้วนี้ โอ้ ไม่ใช่ของง่าย คือต้องแสดงความสามารถ ต้องมีความละเอียดอ่อน ต้องกระทำคู่ควรกระว่าคุณสมบัติของธรรมนี้ เป็นของลึกซึ้งเป็นของละเอียดเป็นของที่มีค่ามาก เพราะนั้นการกระทำหาของที่เรียกว่ามีคุณค่าสูงสุด ก็ไม่ใช่ของง่าย ๆ ซึ่งเป็นของอยากพอสมควร แต่ก็ไม่เหลือวิสัยของผู้มีสติปัญญาดี ไม่เหลือวิสัยของผู้มีบุญญาวาสนาบารมี เพราะนั้นพวกเราก็ขอให้เข้าใจอย่างนี้ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงจะเห็นได้ว่า การทำสมาธินี้ แหมจะจ่ายเหลือเกินนั่งไปบริกรรมไปนั่งไปบริกรรมไป ปรากฏเท่าที่ครูบาอาจารย์บอกเล่า ซึ่งผู้ไม่เข้าใจตามสายสัมมาสมาธิจิตที่แท้จริง ซึ่งไม่มีอุบายที่จะริดรอยกิเลสให้ถูกต้องตามสายองค์มรรคนั้น ท่านก็บอกว่ารวมพลังเข้าไปทีเดียว พอคิดปุ๊บขึ้นมาจิตเกิดฉลาด เกิดโลกวิทู มีปัญญาญาณหยั่งรู้สิ่งต่าง ๆ เห็นจริงตามความเป็นจริงสามารถกำจัดกิเลสได้หมด ทำลายภพของจิตได้หมด เมื่อเบื่อหน่ายกายกำหนัดต่อความเป็นอยู่ในโลก สามารถตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพได้เลยอันนี้รู้ว่าขัดต่อความจริงมาก ถ้าจะว่าตามความเป็นจริงแล้วนี้ ลองนึกถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าพระองค์เป็นผู้ดำเนินง่าย จนเหลือเกินนัก พวกเราก็พอที่จะเข้าใจได้ว่าสาวกทั้งหลายเหล่านั้นก็คงจะมีส่วนง่ายจนเหลือเกิน แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพระผู้มีบารมีอันเปี่ยมพร้อมทั้งปัญญาที่สร้างสมอบรมมาตั้งหลายภพหลายชาติ
            การเป็นนักบวช การเป็นฤาษี การบำเพ็ญตปธรรมของท่านรู้สึกว่าจะมีนิสัยในทางนี้พอสมควร จนเมื่อมามองถึงการคล้ายกับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าแล้ว ยังสามารถระลึกชาติหนหลังและมองเบื้องหลังของพระองคืได้ถุกต้องดีที่สุดอีกพอสมควร แม้แต่ตอนที่พรเองคืออายุยังเล็ก ถ้าจะพูดถึงการทำสมาธิตามที่เรียกว่า ครูบาอาจารย์บอกเล่า ก็ยังสามารถทำสมาธิจนเป็นเหตุให้สอดส่องถึงชาติเบื้องหลังได้ เรียกว่าบุพเพนิวาสานุสสติวิชชา สามารถระลึกชาติหนหลังของตัวเองได้ ตลอดเราลองคิดดูอย่างนี้ก็แล้วกัน แต่ทำไมเล่าพระพุทธเจ้าของเราเป็นผู้มีบารมีอย่างสูงแล้ว เป็นผู้มีปัญญาอบรมมาตั้งหลายภพหลายชาติ จนกระทั่งปัจจุบันชาติก็เป็นผู้เฉียบแหลมเฉลียวฉลาดมาก พวกเราก็พอที่จะรู้ได้ แต่การบำเพ็ญของพระพุทธเจ้าของเรานี้น่าจะผลุบผลับสำเร็จเดี๋ยวนั้น ถ้าความมั่งคงของจิตไม่พอ บารมีสิ่งกระตุ้นไม่พอคงอาจจะท้อถอยออกมา เพราะอุปสรรค์เท่าที่เรามองดูแล้วก็รู้สึกจะมากมายเหลือเกิน ถ้าจะว่าตามครูบาอาจารย์บอกเล่า หรือตำราแล้วอุปสรรคต่อการตรัสรู้ธรรมของสิทธัตถุกุมารไม่น้อยมากเหลือเกิน ถ้าหากว่าวาสนาบารมี ไม่มีพอที่จะกระตุ้นความรู้สึกให้พอใจต่อการตรัสรู้ธรรมให้พอใจต่อการขวนขวายสัตว์ที่ตกอยู่ในอดแอ่งแห่งกันดาน ให้พ้นจากภาวะความเป็นอยู่ที่ได้รับความทุกข์มากมาย ให้พ้นไปเสียจากอำนาจของกิเลสตัวทรมานจิตใจ นำพาไปสู่ทางที่เศร้าหมองเป็นบาป สร้างกรรมสร้างเวรกับบุคคลผู้อื่นก็อาศัยกิเลสตัณหาทั้งหลายเหล่านี้ เป็นสิ่งกระตุ้นนำพาเสมอหน้า จิตผู้มีอำนาจอ่อนกว่าต่ำกว่า ก็ย่อมเป็นไปตามรูปเหตุการณ์ และสิ่งกระตุ้นเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านมีความเมตตาสงสาร บุคคลตกอยู่ในอำนาจสิ่งบังคับติดอยู่นำพาให้เกิดร่ำไป ความทุกข์มีร่ำไป เท่าที่ความเป็นอยู่ของมนุษย์เท่าที่เรามองเห็นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระหฤทัยหนักแน่น มุ่งหวังที่จะก้าวไปสู่การตรัสรู้ธรรมเพื่อต้องการจะขนพวกเราให้พ้นไปจากความลำบากอย่างที่ปรารถสู่ฟังนี้ เพราะนั้นในเมื่อมามองดูแล้วทั้งหมดก็สรุปความได้ง่าย ๆว่า การบำเพ็ญตปธรรมนี้ ไม่ใช่ของง่ายนักเป็นของอยาก อย่างที่พวกเราทำอยู่นี้แหละ จนกว่าจะเก็บกิริยาอาการทุกอย่าง ซึ่งแสดงออกไม่ให้เป็นไปตามธรรมชาติธรรมดา สามารถจับแต่งให้เหมาะให้เหมาะสมให้ควรกับเพศวัย ฐานะอันไหน ควรอันไหนไม่ควร จับไหนประกอบด้วยบาป อันไหนประกอบด้วยบุญ อันไหนก่อเวรก่อสัตรูให้แก่ตัวเอง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อเวร เพื่อกรรม จองกรรม จองเวรกันเอาไว้ ซึ่งจะมีการสัมพันธ์เกิดการทรมานเพราะเวรอันนี้เป็นต้น ทุกกิริยาอาการที่แสดงออกไม่ได้เป็นไปตามลลำพังของเขา ย่อมมีคุณธรรมอันที่สร้างมาเรียกว่า ตปธรรมอำนาจตัวแผดเผากิเลส หรืออำนาจตัวจับแต่งอะไรเหล่านี้เป็นต้น ตามพิจารณาสอดส่องหาความจริง ญัตติได้ความยังไงดีแล่วสามารถประครองออกจากสิ่งที่มีโทษประกอบในทางที่เป็นไปในทางที่เป็นคุณ มีความละเอียดละออจนกระทั่งกิริริยาของกายวาจาพร้อมทั้งวาระกระแสของจติที่ได้ประสบเหตุการณ์ต่าง ๆที่จะยังให้เป็นไป มุ่งด้วยอำนาจของความโกรธของของความรักอะไรเหล่านี้เป็นต้น ทุกกิริยาและทุกวาระของจิตที่อกต่อารมณ์นั้นจะไม่เป็นไปตามลำพังของเขาเลย จะมีอำนาจตัวคุมนี้เข้าถึงปุ๊บอยู่ทุกครั้งจนสามารถตัดกระแส และแก้ได้อย่างละเอียดละออเพราะมีความเกี่ยวกับปัญญาซึ่งเป็นตัวสอนทางเรียกว่า โลกวิทูลของจิต จึงสามารถเพิกถอน จิตของตัวเองออกจากทางที่เป็นโทษได้ เพราะนั้นการกระทำทั้งหมดนี้ต้องมีความสามารถพอ ต้องมีความละเอียดอ่อนทางด้านจิตใจ มีสติปัญญาที่สร้างสมอบรมในปัจจุบันนี้สร้างอย่างสมบูรณ์ จึงจะสามารถตัดกระแสของจิตที่จะไปต่อในทางที่เป็นภพในทางที่เป็นโลก ในทางที่จะก่อให้ความเกิดได้ พร้อมทั้งการจองกรรม จองเวรกับบุคคลผู้อื่น แม้แต่กิริยาเดียวของจิตนี้จะไม่มีโอกาสเป็นได้ จึงจะคู่ควรแก่ ความตรัสรู้ธรรมเป็นพระอรหันต์ เพราะนั้นจึงว่า การกระทำนี้อย่างนี้ อย่าเขาใจว่านั่งปุ๊บลงไปพอตกกระแสใหญ่ปุ๊บนี้ย่อมจะสามารสตัรัสรู้ได้เลยนั้น ผู้นั้นเข้าใจผิดมาก อาตมาได้ทราบจรากครูบาอาจารย์หลาย ๆ องค์ที่ท่านได้เล่าให้ฟังการตรัสรู้ธรรมของท่าน อาตมาจำนำมาซักสององค์ แต่ไม่ต้องบอกชื่อท่าน เพราะมันเป็นการทำลาย
             แต่จะเล่าถึงเรื่องการตรัสรู้ธรรมของท่านให้ฟัง มีท่านผู้หนึ่งซึ่งปัจจุบันนี้เขาลือเป็นพระอรหันต์เหมือนกันโงดังมากชื่อเสียงท่านดีมาก คนเฮโรพากันไปกราบไหว้บูชา และศึกษาข้อปฏิบัติมาก ท่านตรัสรู้ธรรมถึงสามหน ได้ยินว่าคำตรัสรู้ธรรมสามหนนี้ พวกเราก็คงจะมีความเชื่อน้อยเต็มทีละว่าจะเป็นไปได้ เพราะการตรัสรู้ธรรมนี้ ถึงขึ้นพระอรหันต์สามด้วยกัน ครั้งแรกปรากฎว่าท่านไปนั่งอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ท่านบอกว่านั่งไป นั่งไปปรากฎว่ามีเสือ หมี วิ่งออกมาจากถ้ำ ท่านบอกว่าท่านยอมเลยเอาไงเอากัน ปรากฎว่า เสือกระโดด คาบคอเลย ฟาดเจี่ยงทีเดียวร่างกายฟัง วิ่งออกไปข้างนอก ปรากฎว่าเสือกินตัวของท่านทั้งหมดเลย อีกสักพักหนึ่งขี้ออกมาท่านบอกว่ายังเป็นตัวอยู่ปรากฎว่าผู้รู้คือ จิตของท่านวิ่งไปหาฟืนมาเลย มากองใหญ่ก็เลยยกเอาซากศพที่เสือมันขี้ออกมา ข้นไปวางข้างบนเผาเลย จนกระทั่งเหลือแต่กระดูก อีกสักเดี๋ยวปรากฎว่ามีหม้อลายน้ำมา เอากระดูกมาใส่ลงไปในหม้อ บังเอิญมีผ้าขาวอยู่ผืนหนึ่ง เอาผ้าขาวมามัดปิดปากหม้อเอาด้ายขาวบริสุทะมัดเสร็จเรียบร้อยปรากฎ่าฝนตกกระหน่ำใหญ่ น้ำก็ไหลก็เลยปล่อยกระดูกอันนั้นก็ไหลไปเลย สรุปแล้วอันนี้ท่านบอกว่าท่านตรัสรู้ธรรมเป็นครั้งแรก ท่านจึงได้บอกว่าที่เสือมันวิ่งเข้ามาเรายอม เรียกว่าประทานสังขาร คือยอมตาย ผลที่สุดเสือคาบ เราไม่มีความเสียดายให้ตายไปก็เป็นอันตายไป จนกระทั่งเผาซากของตัวเองซึ่งเสือกินเข้าไปขี้ออกมานั่นเผาเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว ก็หมายคามว่าไม่มีอะไรเศษเหาลือ เหลือแต่กระดูก แม้แต่กระดูกก็ยังอุตสาห์ใส่ลงไปในหม้อที่ลอยน้ำมา แล้วก็มีผ้าขาวบริสุทธิ์ซึ่งเป็นสิ่งแดสงออกว่าความบริสุทธิ์เรียกว่า บริสุทธิ์จิต ท่านก็เปรียบเทียบเป็นอย่างนั้น พอที่สุดฝนตกใหญ่ เรียกว่าน้ำอมตมหานฤพาน ยันลงมา ท่านก็ปล่อยประทานสังขารให้ไหลไปตามน้ำ อันนี้เป็นการตรัสรู้ธรรมของท่านในต่อไปก็รู้คล้าย ๆ กัน แต่ปรากฎว่ากุฎิหักทับ ครั้งที่สามปรากฎว่าฟ้าผ่า แต่ในรูปการดำเนินเหมือนกันเลยท่านบอกว่า ท่านตรัสรู้ธรรมเป็นพระอรหันต์ถึงสามหน หากในเมื่อพวกเราได้ยินเพียงแค่พวกเราก็คงจะเข้าใจว่า อันนั้นแค่นิมติเท่านั้นเป็นเพียงแค่อุคคหนิมิต อยู่ในอันดับต้น คือขณิกสมาธิเท่านั้น ไม่มีทางที่จะเป็นไปเพื่อทางตรัสรู้ได้ แต่ท่านก็บอกว่าท่านตรัสรู้ธรรม ข้าพเจ้าเป็นพระอรหันต์แล้วท่านก็ประกาศตัวของท่านตรงไปเลย ทีนี้อีกท่านองค์หนึ่งเราฟังดูดี ๆ นะ ฟังดู๔ดีอีกท่านผู้หนึ่งนี้ ตรัสรู้ธรรมแปลกปรากฎว่า ท่านขึ้นไปนั่งอยู่บนเขาหิน ท่านนั่งสมาธิ ตอนที่ท่านตรัสรู้ธรรมนี้ท่านบอกว่า เสียงภูเขาระเบิดตึ้ง ภูเขาที่ท่านนั่งแยกกันออกเป็นสี่เสี่ยงปรากฎว่ามีรูตรงกลาง ท่านหล่นลงไปในรูลงไปเลย หล่นลงไปอยู่ในรูหินสักพักหนึ่งหลุดหลึดลงไปข้างล่างปรากฎว่าแผ่นดินนี้หลิกถึงเจ็ดพลิกแล้วก้ปรากฎว่าท่านนั่งห้อยหัวลงข้างล่าง ไม่หลุดไม่ตก ท่านบอกว่าพลิกแผ่นดิน เกิดโลกวิทูของจิต ท่านบอกว่าตรัสรุ้ธรรมเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ท่านก็เอานิมิตทั้งหลายเหล่านั้นมาเล่าสู่ลูกศิษย์ลูกหาฟัง ลูกศิษย์ก็พยายามนั่งภูเขาแตก บางทานบางองค์มาหาอยากให้เสือมันออกมาอยากเห็นนิมิต จะวิ่งมากัดคอเรา เราจะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็นั่งรอกัน เพราะจะนั่งท่านพูดเช่นนี้ ท่านจึงกล้าพูดบอกว่า การตรัสรู้ธรรมเมื่อสั่ง ๆ ไปก็รวมใหญ่พอก็เป็นไปได้ สามารถตรัสรู้ธรรมได้ พอตรัสรู้.ธรรมกันแบบนี้ใครก็ทำได้ แต่สำหรับพวกเราไม่ได้หมายถึงการตรัสรู้ธรรมเป็นอย่างนี้ หมายถึงอุบายวิธีที่จะริดรอดกิเลส ทุกกิริยาอาการของจิตที่มีรู้สึกพ่อสิ่งกระทบ ที่จะชวนให้เรารักเราชัง ดีใจเสียใจนั้น เราจะมีกำลังส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวกลางกั้นไม่ให้จิตรุกเข้าไปสู่อำนาจเหตุการณ์ จนกระทั่งบังคับอาการส่วนภายนอกเป็นไปตามรูปอันนั้นเสร็จแล้ว อำนาจตัวอริยมัคคุเทศก์ วิจัยหาความจริงว่า อันนี้ประกบอด้วยโทษด้วยคุณประการใดวิจัยแล้วสั่งห้ามอันนี้มันถึงจะถูก จนกระทั่งทุกกิริยาอาการจับแต่ง การลุกเหินเดินนั่งต้อมีสติครอบคุมไม่เผลอเลอเป็นผู้พยายามจับแต่งกิริยาอาการทางด้านการ และวาจาพร้อมทังวาระกระแสของจิตที่มีความรู้สึกต่อเหตุการณ์ หรืออารมณ์สามารถจับแต่งได้หมดโดยละม่อมละไม ไม่ประกอบด้วยโทษ ไม่เป็นไปเพื่อบาปบัณฑิตทังหลายเห็นแล้ว ไม่ตำหนิได้อะไรเหล่านี้เป็นต้น เราแน่ใจเอง เราเหลือเกินว่าเราชนะทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกอัน ไม่มีเผลอเลอเป็นไปตามธรรมชาติธรรมดา มันไม่มีโอกาสที่จะกระตุ้นเราเป็นไปตามรูปอันนั้นได้อะไรเหล่านี้เป็นต้น เราแน่ชัดในตัวของเราเองไม่มีใครต้องมาพยากรณ์เรา แล้วไม่ต้องมีใครมาบอกเราว่าเราเป็นผู้สำเร็จธรรมเรารู้เอง เพราะของเรานี้กิเลสเราก็รู้อยู่ มันหลุดไปกี่ตัวกี่ตัวเวลานี้มันเป็นอย่างไรบ้าง เราจะรู้ในตัวของเราเอง หมายความว่าผู้ปฏิบัติย่อมรู้เอง ใสตัวของเราเอง ไม่ต้องให้ใครมาพยากรณ์เราหรอก อันนี้แน่นอนมาก เพราะนั้นการดำเนินสมาธิจิตอย่างที่พวกเราดำเนินนี้ละเอียดอ่อนมาก พวกเราก็พอจะเห็นได้ หากในเมื่ออำนาจตัวบังคับของเราสมบูรณ์ดีแล้ว สามารพจับแต่งทุกกิริยาอาการได้ดีแล้วเยือกเย็นมาก เราอยู่ด้วยกันก็มีความเยือกเย็นมีความสบาย ไม่มีความระแวงในกันและกันเลย มีความสบายอก มีความสบายใจพร้อมทั้งจิตใจนี้ กล้าเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้อุปการะ และอุดหนุนผู้ที่ดำเนินเพื่อเข้าไปสู่มรรคสู่ผลนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างกล้าลงทุนกล้าลงแรง ไม่มีทางที่เรียกว่า เขาดีกว่าเรา เขาวิเศษกว่าเรา เมื่อเขาได้ทีแล้วคนอื่นจะนิยมเลื่อมใสเราไม่มีความหมาย ไม่มีความรู้สึกอย่างนี้เป็นเด็ดขาด อยากจะส่งเสริมผู้ที่เข้าใจลัทธิข้อปฏิบัติ อยากจะส่งเสริมผู้กล้าเสียสละทุมเทลงมือประพฤติปฏิบัติ อยากจะส่งเสริมท่านผู้ที่มุ่งหวัง เข้าสู่มรรคผลจริงๆ วิธีใดที่จะช่วยเหลือดุดหนุนได้ จะต้องหาทางช่วยเหลือดุดหนุนให้สะดวกสบาย แก่ผู้บำเพ็ญนั้นเท่าที่เราจะทำได้พร้อมทั้งกำลังใจ อันที่เราจะต้องให้ได้ ช่วยการสนับสนุนทางวาจาก็ดี ในกิริยาอาการแสดงออกทางกาย ซึ่งเป็นการสนับสนุนก็ตาม ผู้เข้าไปสู่กระแสของธรรมนี้จะมีกิริยาอันน้อมลงเป็นไปอย่างนั้นตลอดเวลา หากในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วก็หมดคำที่ว่า อิจฉาริษยา อิจฉาและริษยาซึ่งกันและกันไม่มี เพราะเหตุนั้นเรายังไม่ต้องเข้านิพพานหรอก ปัจจุบันนี้อยู่ด้วยกันก็มีความสุข มีความเยือกเย็น มีความสบาย ไม่มีไม่มีความระแวงในกันและกันเป็นเด็ดขาด ถึงที่สุดแล้วผู้เห็นปานเช่นนี้ จึงจะควรแก่นิพพานแดนของนิพพานนี้ ไม่ได้เอาบุคคล หรือจิตใจที่สกปรกลามกจิตใจที่มีอิจฉาริษยาจิตใจที่ลวนเลา ไม่มีอำนาจตัวตปธรรมคุ้มครองชำระ นิพพานเขาไม่รับไม่เอา ไม่มีโอกาสเข้าไปแดนของนิพพานนี้รับเฉพาะจิตใจที่บริสุทธิ์ ปราศจากความอิจฉาริษยาซึ่งกันและกันอยู่เฉพาะผู้ไม่โลภโมโหโทสัน ผู้ที่สามารถขจัดสิ่งชั่วร้ายที้งหลายเหล่านั้นออกหมดได้จึงคู่ควรลองลงมานึกถึงแดนแต่ละแดน เอาแค่ประเทศมาเลเซียอย่างนี้เป็นต้น ก่อนที่เราจะเข้าสู่ประเทศมาเลเซียเขาต้องตรวจโรคก่อน ซึงประเทศเขาไม่รับมีกี่ประการ ระเบียบปกติกามีอะไรบ้าง เราจะผ่านสู่แดนของเราได้นี้ต้องเป็นไปตามระเบียบกติกาของเขาจริง ๆ นี้ดูซิแม้แต่เราอยู่ในโลกเป็นคนโลกด้วยกัน แบ่งเขตคนละประเทศก็ยังเป็นอย่างนั้น ทีนี้ยิ่งประเทศใหญ่ ๆ อย่างอเมริกาเป็นต้น จะไปเขาตรวจแล้วตรวจอีกกว่าโรคจะนำไประบาดในประเทศ โรคติดต่อมีใหม่อะไรต่าง ๆ เขาต้องตรวจตาจนละเอียดละออ แพทย์รับรองเรียบร้อยแถมยังไม่พอฉีดยาทำลายเชื่อเข้าไปอีกคือ วัคซีน ถึงขนาดนั้นถ้าไม่อย่างนั้น เมืองอเมริกาเขาไม่รับหรอก เขาถือว่าคนไม่บริสุทธิ์อาจจะนำเชื่อโรคไปแปะ หรืออาจจะอย่างว่าละได้โจน ซึงถ้าเจ้าหน้าที่ไม่รับรอ ไม่รู้จักว่าบ้านพ่อ บ้านแม่ตอยู่ตรงไหนมีคามประพฤติเป็นอย่างไร อาจจะเอาคนเกเลเกตงไปสร้างความเดือดร้อนเขาดูซิอยู่ในโลกเดียวกัน ทีนี้ส่วนนิพพานละไม่ต้องพูด เพียงแค่เราไปสู่สวรรค์ได้อาตมาเคยไปเห็นมาแล้ว เคยได้ทราบมาแล้วต้องเอาจากบุคคลมีศรัทธา จิตใจเป็นกุศลน้อมลง กิเลสไม่สู่จะหยาบเหลือเกิน ในเมื่อเข้าไปสู่แดนอันนั้นแล้วจิตใจอ่อนโยนเยอกเย็น แม้รู้สึกว่ามันเปลี่ยนแปลงไม่น้อยแค่สวรรค์ก็ยังมากอยู่แล้ว พรหมโลกอีกละ นิพพานละ นิพพานนี้ยิ่งหมดจด เชื่อโรคใหญ่คืออะไร เรื่องกิเลสทั้งหลายเป็นเชื้อโรคของจิตใจ เปรียบเสมือนที่มันเจาะเหล็กเหล็กเสียกล่อนถึงหมดไป คืออารมณ์ หรือว่าแนวคิดอันที่จะเกิดความเศร้าหมองกหรือเป็นไปเพื่อบาปเป็นไปเพื่อการก่อเวร เป็นเชื่อโรคของจิตใจ แต่สามารถทำให้จิตของผู้นั้นหมดกำลัง อ่อนเพลียเปลี้ยจนสามารถที่จะระบาดฐานเข้ามาถึงร่างกาย ทำให้เกิดโรคเส้นประสาทเป็นต้นเหล่านี้ เพราะนั้นจงว่าโรคของใจไม่ใช่อื่นไกล หมายถึงกิเลสหรืออารมณ์อันเศร้าหมอง หรือว่าเราไม่มีความสามารถบังคับจิตของเราให้อยู่ในอำนาจของตปธรรมได้ รั่วไหลเป็นไปตามรูปของเหตุการณ์แล้วแต่สิ่งที่จะยั่วยุให้ดีใจเสียใจก็บ้าเพล้อไปตามเรื่องเหล่านั้น เกิดความทุกข์ใหญ่ นั่นดูซิโรคของจิตใจไม่ใช่อื่นไกล ได้แก่ความคิดอันที่จะสร้างความเศร้าหมองให้แก่ตัวเอง สร้างความทุกข์ให้แก่ตัวเอง มีความเดือดร้อนอย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นพวกเราผู้ต้องการจะเข้าไปสู่นิพพานได้ต้องกำจัดโรคทั้งหลายเหล่านี้เรียกว่า โรคระบาด หรือโรคติดต่ออันที่จะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตัวเองและสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เสมือนหนึ่งหัวไม้ขีดขีดไฟก็ไหม้หัวไม้ขีดก่อน จนกว่ามันจะไปเผาบ้านเผาเมืองเผาป่านั้นมันต้องเผาหัวไม้ขีดเสียก่อนฉันใดก็ดี ความเล่าร้อนที่เกิดจากกิเลสมันต้องเผาเราเสียก่อน มันจึงจะไปเผาผู้ อย่างความโกรธเกิดขึ้นมามันต้องล้ำเราเสียก่อนละ มันถึงจะไปเผาผู้อื่นเหล่านี้เป็นต้น เพราะนั้นจึงว่าเรื่องของกิเลส เรื่องของความเดือนร้อนความสกปรกมัวหมอง พระนิพพานเขาไม่เอาแล้วจิตใจของผู้ใดยังมีเชื่อยอ่างนี้เหลือยู่นิพพานไม่รับต่อเมื่อใดชำระให้หมดจดแล้วแดนของนิพพานรับ เพราะว่าเป็นแดนของมหาบัณฑิต แดนของมหาบัณฑิต แดนของนักปราชญ์มีองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทุก ๆพระองคืพร้อมทั้งพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้าและสาวิกาทั้งหญิงและชาย ซึ่งเป็นผู้พี่ของพวกเราเข้าไปอยู่ในนั้นบัดนี้พวกเรากำลังเตรียมการทอดสะพาน ทอดบันได ที่จะก้าวเข้าไปหาผู้พี่ และพ่อของเราที่เข้าไปสู่แดนอมตมหานฤพาน ไม่มีเกิดไม่มีแก่ไม่มีเจ็บไม่มีตาย อยู่สบายสลายไม่มีความอิจฉาริษยาซึ่งกันและกัน ความเกียจ โกรธในกลุ่มนั้นไม่มี อยู่แล้วมีความสุขสบาย ไม่ต้องมาเกิดมาแก่ มาเจ็บมาตาย อย่างพวกเราเป็นอยู่นั้นไม่มี อยู่แล้วมีความสุขสบาย ไม่ต้องมาเกิดมาแก่ มาเจ็บมาตาย อย่างพวกเราเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราจงพยายามชำระจิตใจของตัวเองให้คู่ควรแก่นิพพานซะ ด้วยอำนาจของตปธรรมคือ การดำเนินเพื่อแผดเผากิเลส โดยวิธีอย่างที่สอนมาว่า ธรรมาวุธ คืออะไรคืออำนาจตัวคุ้มครอง และอำนาจตัวของอริยมัคคุเทศก์ ตัวประหารซึ่งเป็นอาวุธใหม่เรียกว่าธรรมวุธ ให้พยายามสะสมขึ้นมากับความต้องการแล้วพยายามจับแต่งในกิริยาทุกกิริยาอาการนี้ให้เข้าสู่รูปที่ถูกที่ควรเป็นไปตามระบบของธรรมที่ถูกต้อง ตามบัณฑิตมีพระเจ้าวางหลักเกณฑ์เอาไว้ให้ถูกต้องซะ ต่อจากนั้นไปก็มีโอกาสที่จะก้าวเข้าไปสู่พระนิพพานได้นี้ เล่าเหตุผลสู่ฟังก็ยืดยาวแล้วละ อย่างก็เล่าเพียงเศร้า ๆ ปราย ๆ ก็ไม่ได้เล่าอะไรให้มากมาย ก็เพียงแค่นี้เรียกว่าแนะแนวให้พวกเราได้เข้าใจบ้างเพียงเล็กน้อย แล้วก็จะได้ตั้งหน้าประพฤติปฏิบัติกัน แล้วพวกเราก็จะได้มีความสุข ความเจริญกันของให้พวกเราจงตั้งอกตั้งใจกันทุกคนนะ เอาละดีแล้ว เอวัง

ณ ศาลาการเปรียญวัดเขาสุกิม
๑๔ กันยายน ๒๕๑๕


หน้าแรกธรรมะ
กระดานข่าว
ลงสมุดเยี่ยม
อ่านสมุดเยี่ยม
ผู้เขียน

เชื่อมโยงกัลยานิมิตร >>
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว / สมเด็จพระมหาสมณเจ้า / พระนิพนธ์สมเด็จพระญาณสังวร / พุทธประวัติ, พุทธโอวาท / ธรรมะพุทธองค์ / พุทธศิลป์ โดย อ.เฉลิมชัย / ธรรมะจากพระป่า / กองทัพธรรมพระกัมมัฏฐาน / ประวัติหลวงปู่มั่น / หลวงตามหาบัวช่วยชาติ / จังหวัดจันทบุรี / อำเภอนายายอาม / รอยยิ้มของพ่อ

เหมาะสำหรับจอภาพที่แสดงผลที่ 800 x 600 และเพื่อความสวยงามยิ่งขึ้นหากแสดงผลที่ 1024 x 768 (Microsoft Internet Explorer)
วัดเขาสุกิม
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2543

พัฒนาและออกแบบโดย นายทวีศักดิ์ รัตนคม    
ติดต่อสอบถามได้ที่ webmaster@khaosukim.org   
และทาง msn ได้ที่ hs2wjo@hotmail.com