หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
ประธานสงฆ์วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี

เรื่อง : อุบายแก้จิต

            คำว่าง่วงนั้นเป็นสาเหตุมาจากไหน เราก็ต้องค้นหาอีกตัวหนึ่ง เพราะตามธรรมดา ความง่วงบางทีไม่ได้เกี่ยวกับร่างกาย บางทีก็เกี่ยวกับนิวรณ์ มันจะมี ๒ นัยอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นในเมื่อเรามีสติจับอยู่ เอาจุดใดจุดหนึ่งเป็นที่ตั้งกำหนดอยู่ เมื่อกำหนดไป ๆ มันเกิดง่วง เราก็ต้องดูให้ดี ๆ ว่าที่ง่วงโดยสาเหตุมาจากไหนก็เป็นอันว่าเราจะมีงานทำกันล่ะ เราก็ค้นหามันจะเกี่ยวแก่ธาตุขันธ์ไม่ดีหรือ? หรือจะเกี่ยวแก่การรับประทานอาหารบางอย่าง ซึ่งจะทำให้ธาตุนั้นเสียหรือ เกี่ยวแก่อะไรเราก็ค้นหาสาเหตุให้ได้ ถ้าธาตุขันธ์ของเรายังดีอยู่ร่างกายก็ไม่ได้เหน็ดเหนื่อยเกินไป แต่การง่วงเหงานี้อาจจะเกี่ยวแก่การกำหนดจมจ้องอยู่ทำให้ซึมไปเลยก็ได้ เราก็ต้องหาวิธีแก้ไขใหม่ เช่น เวลาเราจ้องมองเผลอ ๆ ไป ซึมหลับไป อ้อ! นี่จิตไม่มีพลัง มันไม่มีเครื่องเล่น เราก็ต้องหาเครื่องเล่นอะไรสักอย่าง แต่เครื่องเล่นของเรานี้ไม่ใช่เครื่องเล่นแบบอภิญญาณ หรือมองข้างนอกอะไรเหล่านั้นก็หาใช่ไม่ เราก็ต้องนึกหวนมาถึงที่เรียกว่า เมื่อร่างกาย หรือสิ่งทั้งปวงไม่ได้กระทำให้ความง่วงเกิดขึ้นได้มันก็เกี่ยวแก่จิต เมื่อหากมันเกี่ยวแก่จิตมันซึม มันเป็นนิวรณ์อีกชนิดก็เนื่องจากว่ามันไม่มีเครื่องเล่นล่ะนะทีนี้จะหาเครื่องเล่นให้สักอย่าง การหาเครื่องก็คือ เรานำปัญหาอะไรสักอย่างขึ้นมาเสียก็พิจารณาในปัญหานั้น ๆ เช่นเราจะใช้วิธีทบทวนถึงเรื่องที่ว่ากิเลส ซึ่งตัวมันเคยมีอยู่ มีตัวไหนบ้างเราลอง ๆ จัดสรรดูบ้าง มันมีกี่ตัวเราก็ลองไล่ไป ๆ ทีนี้ไอ้ส่วนตัวนั้นมันยังเคยมีอยู่หรือมันหายไปในปัจจุบันนี้ เราก็ลอง ๆ ทบทวนหรือดีดลูกคิดเอาดู เราสามารถทำลายมันไปได้กี่หน้าอะไรเหล่านี้เป็นอุบายที่จะทำให้จิตของเราหายจากความง่วง เพราะมันมีงานที่จะต้องทำอยู่ อันนี้ก็อาจจะหายได้ หรือถ้าไม่อย่างนั้น เราก็ลองนึกถึงเหตุการณ์อะไรบางอย่าง ซึ่งพอที่จะนำมาพิจารณา เพื่อเป็นอุบายแก่จิตเราอะไรเหล่านี้ก็แล้วต่อเราจะนำมาพิจารณา แต่ไม่ใช่อุบายวิธีนำมาคิดแก้จิตแล้วหลงไม่ใช่อย่างนั้น เหตุการณ์อันที่น่าเศร้าสลดอันน่าสังเวช ซึ่งเราไปประสบแล้วเรารู้สึกสังเวชอะไรเหล่านี้ เราก็นำมาพิจารณาเพื่อให้เกิดสังเวช เมื่อเราพิจารณาพอสมควรแล้วรู้สึกว่าจิตใจของเรานี้มันหายจากความง่วง ความง่วงอันนั้นทับถมไม่ได้เราก็ลอง ๆ จับจ้องดีอีกทีหนึ่ง มันจะเป็นอย่างไร เมื่อเราใช้อำนาจของสติบังคับความรู้สึกรับรู้ในส่วนอื่น ๆ เมื่อรับรู้จุดนี้ก็เป็นเรื่องปล่อยจิตไม่เอาเราก็เอาลมหายใจเข้าออกเป็นส่วนข้างนอกดูเพียงแค่มีลมหายใจเข้าออก แต่ไม่ได้กำหนดว่าอยู่ในกาย แต่มีลมหายใจเข้าออกผ่าน มันจะปรากฎว่าอยู่ข้างหน้าก็ตามจับดูเฉพาะลมหายใจเข้าออกมันจะเป็นอย่างไรลองดู เมื่อเปลี่ยนอย่างนี้อาจจะหายก็ได้ เราก็มีวิธีที่เราจะแก้ไขอย่างนี้ แต่ทีนี้ถ้าจะพูดถึงอีกนัยหนึ่ง ถ้าสติของเราแก่กล้าสมบูรณ์ เมื่อมันจะง่วงเราก็หาทางที่จะทำให้หายง่วงได้ เช่นใช้พลังอีกชนิดหนึ่งเข้าไปบังคับก็หายง่วง คือความสว่างก็เกิดขึ้นทันที แต่เมื่อหากมันยังไม่ถึงกันจริง ๆ เราก็ต้องหาอุบายดังกล่าว แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเท่าที่อาตมาสังเหกุดูบางทีก็เกี่ยวแก่ธาตุขันธ์ อาหารบางอย่างเราได้ได้รับบ่อย ๆ นาน ๆ ถึงจะได้รับทีหนึ่ง พอรับเข้าไปแล้วมันทำให้ง่วง หรือซึมได้เหมือนกันเราก็ทวนให้ดี ๆ ถ้าเราพิจารณาดีแล้วโดยไม่เข้าข้างสังขาร เอาปัญญาเป็นเครื่องสะดวก เอากำลังสติเป็นเครื่องเข็นจริง ๆ พิจารณาแล้วเห็นว่า อ้อ! มันเกี่ยวแก่การเหน็ดเหนื่อยก็ดี เราก็หาทางพักผ่อนเสีย หรือเกี่ยวแก่ทางธาตุขันธ์ เราก็หาทางเหยี่ยวยาเสียอะไรเหล่านี้ไปแก้ไขก็เป็นอันว่าเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่เมื่อเราทำเป็นไปแล้วร่างกายสังขารมันแย่ เราก็เข็น บังคับ ให้เป็นไปตามอำนาจจิตใจโดยฝ่ายเดียว สามารถบังคับอย่างนั้นก็หาใช่ไม่ เพราะตามความสามารถของจิตใจหรือกำลังของจิตใจก็สามารถที่เข็น หรือบังคับร่างกายที่เป็นไปได้ตามอำนาจของตปธรรมที่อบรมมาดังกล่าวนี้ ก็ร่างกายพอที่จะเอาไปได้ ถ้าหากร่างกายนั้นไม่ดีอย่างที่พรรณาสู่ฟังนั้นก็สุดวิสัยที่มันจะเข็นได้เหมือนกัน ทีนี้ถ้าเราทดลอง ซึ่งพวกเราที่ต้องการอยากจะทดลองให้ถึงที่เช่น ดุใจวันนี้ร่างกายของเราดีแล้วก็สติของเราสร้างมาก็สมบูรณ์ดีแล้ว เรานอนท่าสีหไสยยาสน์ คือ ตะแคงข้างขวา เอามือขวาซ้อนเข้าไปที่แก้ม เอามือซ้ายวางราบทับไปตามตัวแล้วก็นอนท่าสบาย ๆ เหยียดพักมันไม่สบายก็ดึงเขามานิดหน่อยแล้วก็ลองหายใจดู ลองสังเกตดู เห็นสบายดีแล้วเราก็เอาจิตตรงปลายจมูก หรือที่ไหนก็แล้วแต่ ถ้าความชำนาญของเราพอ เราไม่มีการเพ่ง หรือกดดันตัวเองแล้ว เราเพียงแต่รับรู้ได้ และสามารถพลิกแพลงแต่งหาว่า เรากำหนดแบบไหน หรือวางยังไงจะสบายเราสามารถแต่งได้เต็มที่ เพราะความชำนาญ พอเราก็กำหนดตรงปลายจมูกก็ได้ คืนทั้งคืนเราตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ให้หลับจะไม่ให้เผลอเลย จะมีความรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกได้จนตลอดคืน เมื่อปรากฏว่าเคลิ้มหลับหรือเผลอตัวอะไรเหล่านี้ ไม่มีจนตลอดราตรี อันนี้แสดงให้เห็นว่าสติของเราสมบูรณ์แก่กล้าสามารถที่จะบังคับความหลับนอน หรือความง่วงเหงาหาวนอนนี้ได้ให้เป็นไปตามอำนาจของตปธรรมได้ หรือถ้าไม่อย่างนั้น สมมติเมื่อเหลือเวลาอยู่ไม่มากเท่าใดนัก แต่เราต้องการจะหลับก็ดี เราต้องการจะให้หลับ เพราะมันต้องขึ้นปัญหาอันนั้น แต่ทีนี้เรามองเห็นว่าเป็นปัญหา อันนี้ไม่ควรคิด เพราะเราอาจจะมองเห็นว่าวันนี้ร่างกายได้ประกอบอะไรเป็นบางอย่าง ซึ่งเพื่อว่าเอาปัญหาอันนี้มาคิดมันจะทำให้ร่างกายนั้นไม่ดี เมื่อไม่ดีมันจะเสียเวลาไปมาก เพราะฉะนั้นควรหลับนอนเสียก่อน เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วจะเอาปัญหามาคิดทีหลังก็ดี เราใช้อำนาจส่วนนี้เข้าบังคับ และทำลายความคิดและปัญหานั้นได้เลยโดยจิตไม่มีกำลังงอแงที่จะฝืน เราเข้าไปเอาหรืออมเอาเหตุการณ์นั้นมาคิดอะไรเหล่านี้ก็ดี สามารถที่จะทำลายให้มันคลาย หรือขึ้นได้อย่างนี้ เราคาดเหมายไว้ทันทีเลยอย่างนี้เรียกว่า เป็นผู้ที่แก่กล้า อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติจะต้องทดสอบทดลอง ถ้าเรากะว่าจะกำหนดที่ลมหายใจที่ปลายจมูกของเรานี้นี่นะ เอาลมหายใจเข้าออกเป็นนิมิต เอาปลายจมูกเป็นที่ตั้งเป็นจุด แต่เมื่อเรากำหนดไปมันเกิดเผลอหลับไปก็ดี อันนี้ยังไม่สมบูรณ์พอ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องหาวิธีทดสอบทดลองอย่างนี้พรรณนาสู่ฟังนี้ อันนี้เป็นโสตหนึ่งที่เราจะต้องดำเนินมันก็มีอย่างนี้ แล้วต่อจากนั้นไปสงสัยยังไงบ้าง
                 ถาม : สงสัยมีเรื่องข้องใจอยู่ แต่ตัวเองไม่สามารถคิดจะอดใจจะทำยังไงบางอย่างมันมีเรื่องข้องใจ
                 ตอบ : อันนี้อย่างอาตมาเองตั้งแต่ก่อนก็เช่นกันคือ ปัญหาบางอย่างมันวางไม่ลงจริง ๆ บอกให้มันหยุดมันก็หยุดไม่ได้ มันก็ต่ออยู่นั่นแหละ แถมมันจะนอนไม่หลับเอาเสียอีก มันก็เคยมี แต่ทีนี้อาตมาก็อย่างว่า แต่ก่อนนี้ก็ติดนิสัยจริง ๆ ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร ก็ต้องวิ่งหาครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่าไม่ต้องหาผมหรอกไม่ต้องถามก็ได้ ท่านพยามยามสร้างกำลังของสตินี้ แต่ถ้ามันเหนือกันจริง ๆ นี่มันไม่ฝืนหรอก ไม่มีฝืนเลยว่ายังไงก็ต้องอย่างนั้น ว่าหยุดก็ต้องหยุด วางก็ต้องวาง หลับก็ต้องหลับไม่มีกำลังอะไรที่จะงอแง เข้ามาต่อสู้กับกำลังอันนี้ได้เลยอันนี้เรียกว่า เหนือกัน ถ้าเราว่าวางมันก็ยังไม่วาง เอาเถอะมันก็ยังไม่หลับเถอะมันก็ยังต่อ ถ้าหากเป็นอยู่อย่างนี้ก็แสดงให้เห็นว่าถ้ากำลังตัวบังคับตัวแก่นนี้ไม่พอ เพราะฉะนั้นพยายามสร้างจิตให้เหนือ ท่านสอนอย่างนี้ เมื่อท่านสอนอาตมามาอย่างนี้ อาตมาก็อยากจะให้ไปควบคุมจะเอาไปคิดอย่างที่ปัญหาของอาตมาพรรณนามานี้แหละ ขอเอานัยเดียวกันนี้แหละ แล้วก็ปัญหาที่แก้ไขก็เอาแบบเดียวกันนี้แหละ อันนี้เข้าใจหรือยัง
                ถาม : เราก็ไม่ต้องคิด
                ตอบ : ฮึ ๆ ๆ ๆ ไอ้ความมหัศจรรย์มันเกิดขึ้น เนื่องจากพลังนี้สามารถบังคับอะไรต่ออะไรได้ตามปรารถนา มันรู้สึกเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์จริง ๆ คล้ายกับว่าในสิ่งที่ไม่ต้องการบางสิ่งบางอย่างนี่เหมือน ๆ กับว่าเราจะเอาได้ซะหมดเลยอย่างนั้น ทีนี้ไอ้ความเห่อเหิมในผลมันเห่อเหิม เห่อเหิมขึ้นมาได้ นอนไม่หลับ มันพะวงไปก่อนมันปลื้มปิติ มันตื่นเต้น รู้สึกมันแปลกที่สุด เปรียบเทียบเหมือนกันว่าคนได้ของที่สมปรารถนาอะไรบ้างอย่างรู้สึกว่ามันเอิบอิ่มมันตื่นเต้น มันปลื้มปีติ จิตมันประหวัดรู้ถึงในสิ่งที่ตัวเองได้อะไรเหล่านี้ อันนั้นก็เหมือนกัน รู้สึกว่านึกถึงผลของสมาธิ หรืออำนาจที่กำลังเอามาบริหารอยู่ เช่นให้หยุดมันหยุด เกิดการพิจารณาบางสิ่งบางอย่างรู้สึกมันปรากฎให้เห็นชัดประจักษ์ขึ้นมาจริง ๆ อย่างนี้ แหม! รู้สึกว่าความคิดนะวิ่งเข้าไปอยู่ในผลอันนั้นแหละเสมอ ๆ จะบังคับให้มันวางมันก็ไม่วาง ให้มันลืมมันก็ไม่ลืม มันก็ทำยังไงหนอ มันจะลืมได้ เพราะต้องการจะต่ออันดับมันต่อไปไม่ได้ จะทำยังไงทีนี้จะมีเพียงแต่ครูบาอาจารย์ก็ต้องรีบมาหาท่านมากราบเรียนท่านว่า เวลานี้กระผมทำสมาธิแล้ว รู้สึกกำลังตัวนี้พอสมควรที่จะแต่งความรู้สึกส่วนภายในนี้ได้ตามความปราถนา เมื่อทำแล้วรู้สึกมันปลื้มปีติ และก็ผลปรากฏขึ้นมา เราก็รู้สึกว่าความรู้สึกของผมวิ่งเข้าไปอยู่ อันนี้ผลอิ่มสักด้วย จะบังคับไปทางอื่นไม่ไป อันนี้จะทำยังไง ตอนนั้นก็แสดงให้เห็นว่าเราก็ต่ำกว่านั้นอยู่นั่นแหละ ถ้าเหนือกว่าเราก็ต้องสั่งได้ เอ้อ! มาคิด ๆ ดูก็จริง คราวนี้จะเอายังไงในยามนี้ ก็บอกว่าท่านสอนไว้ บอกว่าให้สร้างให้มันขึ้นให้มากที่สุดสามารถบังคับให้อยู่ในกำมือ แต่งได้นับเมื่อใด แต่ให้ได้ อ้อ! อย่างนั้นหรอกรึ ทีนี้เอาใหม่ก็เร่งรัดขึ้นพอมีอำนาจเหนือมันแล้ว โอ้มันก็ชนะได้ก็อันนี้รู้สึกมันเอากันอย่างง่ายดายอะไรเหล่านี้ ทีนี้ต่อไปมันติดข้างหน้าอีกมันก็อยู่อย่างนั้นอีกเรื่อย ๆ ไปนั่นแหละ เพราะตอนที่ท่านสอนส่วนมากไม่มีอะไร คือว่าให้เร่งตัวแต่ขึ้นให้มากก็พยามยามสังเกต เมื่อหากเราไม่มีความสามารถที่จะบังคับเหตุการณ์ส่วนภายในที่ปรากฎอยู่ คือ มันอาจจะเพลิดเพลิน หลงไหลในผลของสมาธิที่ปรากฏก็ดี หรือบางทีมันอาจจะมีอารมณ์บางสิ่งบางอย่าง หรือเหตุการณ์บางอย่างกระทบ ซึ่งเราไม่มีความสามารถจะระงับได้ บางที่ก็เข้าห้องสังขาร อันนี้มันจำเป็นที่จะต้องคิด แต่แท้จริงไม่ใช่แต่ที่ที่ว่าคืออะไร ภาพที่วาดหลอก เมื่อกี้นี้คือ กิเลสมันวาดภาพหลอก เราก็มักจะเข้าข้างมันบ่อย ๆ อะไรเหล่านี้ คือเราก็ต้องดูซะก่อนว่าที่เมื่อกี้คือใคร ภาพที่ปรากฏนี้ใครวาดกันแน่เอากิเลสออก หรือเราก็หาวิธีขำคอมันซะเลย ผลสุดท้ายได้เรื่อง จิตมันวิ่งเข้าไปสู่เหตุการณ์ดังกล่า มันก็สามารถที่จะทำลายได้ แต่หากในเมื่อเราเข้าข้างกิเลส เช่น เมื่อกิเลสมันวาดภาพให้หลงอย่างที่พรรณนามาเมื่อกี้นี้ ถ้าจะให้เป็นของจริงเพราะเป็นสิ่งที่เราจะต้องคิดไม่คิดไม่ได้ เพราะสิ่งอันนี้มันเป็นอย่างนั้น ๆ ถ้าว่าเรามอบภาพนี้ได้ชัดล่ะก็ทำลายได้ ถ้าเราหลงล่ะก็มันก็ยิ่งถลำไปกันใหญ่ เพราะฉะนั้นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จงพิจารณาให้ดี ๆ แต่แล้วสรุปแล้วครูบาอาจารย์ท่านก็สอนให้รู้ในทางสติหรือตัวแต่งตับ แต่ให้ได้มันจะมาแบบไหนก็ช่างมันจับแต่งให้ได้ สามารถจับแต่งให้เป็นไปตามที่เราคาดหมายไว้เต็มที่นั่นแหละ ถึงจะเรียกว่ามันเหนือกัน ถ้ายังแต่งไม่ได้ก็ถือว่ามันยังไม่เหนือรีบสร้างขึ้นให้มากแล้วก็แต่งอีกอะไรเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูบาอาจารย์ท่านะสอนให้สร้างให้แต่งดังกล่าว ถึงแม้ท่านจะเอาอุบายอื่นมาแนะนำก็บางสิ่งบางอย่างก็มีอยู่ ซึ่งจะให้อุบายบางสิ่งบางอย่างจะแก้ไขหรือทำลายไปเสียอย่างนี้ก็มีบ้าง แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสิ่งที่ผิดมากที่สุดก็คือ ผลของสมาธิ อันนี้ติดมากที่สุดและเข้าข้างกิเลสที่วาดภาพล่อเรื่อย ๆ เพราะอาจหลงในส่วนสมาธิจิตกัน หรืออาจจะเป็นผลของปัญญาญานเช่นกัน อันนี้สำคัญมากแล้วก็มีอะไรอีกทีนี้
                 ถาม : อย่างจะทำงามภายในนี้หมายความว่าอย่างไร
                 ตอบ : งามภายใน หรืออย่างคุณทำอยู่เดี๋ยวนี้เรียกว่า งามภายใน และพิจารณาตามเคลื่อนไหวของจิตแล้วคุ้นเคย คอยแก้ไขหักห้ามไปในสิ่งที่ควรแก้ไขหักห้าม ควรพยายามนำพาในสิ่งที่ควรนำพานี้เรียกว่า งามภายใน ถ้าเราสังเกตุ นี้คือเราจะมองเห็นกำลังของตัวนำ ซึ่งเราสร้างขึ้นมาเพื่อให้นำ ถ้าจะพูดแล้วก็เรียกว่า อริยมัคคุเทศก์ ที่นำพาเราไปสู่จิตตกแห่งชีวิต หรือจิตตกแห่งภาพ เพื่อความโกรธพูดง่าย ๆ อริยมัคคุเทศก์ตัวนี้ เมื่อเราเห็นความอัศจรรย์หรืออำนาจ และความสามารถของคุณธรรมดังที่พรรณนานี้ เมื่อเราเกิดอัศจรรย์แล้ว อันนี้จะนำมาให้เราไปไกลนัก เพราะเหตุนั้น เรื่องการเปลี่ยนเช่นในผลอันนี้ต้องพยายามหากำลังชนิดหนึ่งรอไว้ระงับ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ลำบากเหมือนกันพอ ถ้าเรามองเห็นความอัศจรรย์แล้ว แล้วก็เห่อเหิม ตื่นเต้นตามนี้ มันมักจะอกนอกทาง ออกนอกทางหมายถึงโลกุตรณาน โลกุตรมรรควิถี เพราะว่ามันจะแยกไปในทางอภิญญานเสีย หากในเมื่อมันปรากฎอัศจรรย์ อื้อ? สงสัยเอาไปอย่างนั้นจะได้ เอาไปอย่างนี้จะดี ไอ้ความรู้สึกเช่นนี้เกิดมาจากสัญญา สัญญาอุปาทาน เนื่องจากว่าได้ยินคนนั้นเล่าลือ ได้ยินคนนี้เล่าลือ ผู้นั้นอีอย่างนี้ ผู้นี้อย่างนี้ มันอมอยู่ภายใน เราเรียกว่ากิเลสที่มันซ่อน หรืออมอยู่ภายในพอไปเจอะสั่งนั้นหลายเหล่านี้มันจะงอแง เมื่อไรเราจะไม่รู้ตัวมันรุกมาจะนำพาเป็นไปจะทำให้เราเสียเวลาจะทำหใเราก้าวเข้าไปสู่มรรคผลได้อะไรเหล่านี้ มันก็เข็นพญามาร หรือกิเลสอีกชนิดหนึ่งที่จะกางกั้นไว้อยู่ ที่นี้ผลสุดท้ายเราก็เรามาประกอบตัวนี้ไปมองจ้องไปในทางอื่น รู้สึกว่ามันปรากฎจริงไหม ได้รับผลจริง ๆ เห็นจริง รู้จริง เป็นจริง ถ้าเผลอไปชมหรือหลง หรือทดสอบ ทดลองอย่างนี้จะทำให้ช้าไปติดจะก้าวไม่ไหว เพราะโดยส่วนมากเท่าที่สังเกตดูแล้ว ครูบาอาจารย์หรือท่านผู้ปฏิบัติโดยส่วนมากก็มักจะไปติดหลงกันอยู่เพียงแต่นี้ พวกเราก็คงจะมองเห็นได้ว่าผู้ที่หลงอยู่เพียงแค่นี้คือ ใครมองแล้วก็รู้ได้ว่าผู้ที่หลงอยู่เพียงแค่นี้คือ ผู้ที่ตื่นเต้นหลงไหอยู่ในฤทธิ์เดช หรือสิ่งที่มหัศจรรย์ ซึ่งทีสามารถทำให้สำเร็จขึ้นมาได้ ตัวเองก็เคยเห่อเหิม หรือมาเล่นอยู่เพียงแค่นั้น ไม่มีก้าวต่อไปอีก็เสวยผลเพียงแค่นั้น รับผลมันอยู่เพียงแค่นั้น ก็เป็นอันว่าตกอยู่ในอำนาจเพียงแค่นั้น ไม่มีทางที่จะขึ้นไปได้ก็เพราะดังกล่าวนี้เอง เพราะเหตุนั้นพวกเราผู้ปฏิบัติต้องการที่จะสร้างให้ถึงที่สุดจริง ๆ แล้วได้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นพวกเราควรที่ป้องกันไว้ก่อน คือ หากในเมื่อเรามีความรู้สึกอย่างนั้นเราควรที่จะหาทางทำลายไป หรืออย่าให้มันเป็นไปได้อย่างนั้น อันการก้างของพวกเราคือจะสะดวกแล้วก็ก้าวไปสู่ที่สุดได้ง่ายอันนี้มีอย่างนี้ ทีนี้อาตมาขอเตือนย้ำไว้อีก อย่าเข้าใจเป็นของง่ายนะนี่เป็นของยากอยู่เหมือนกัน อันนี้ถึงได้เตือนแล้วเตือนอีก ทีนี้มาพูดถึงเรื่องสมาธิจิตนี้ทำไมถึงจะหลงงมงาย สำหรับพวกเราผู้ทำก็ไม่เห็นจะหลง หรือเป็นสิ่งที่น่าหลงตรงไหนก็เพราะจิตมุ่งประสงค์ต้องการที่จะเข้าไปสู่อมตะอยู่แล้ว ถ้ามาหลงอยู่ของแค่นี้ก็เป็นอันว่า ด้าวไปไม่ได้ ก็เข้าใจอยู่แล้วทำไมมันจะหลงเล่า อันนี้อยู่ว่าเลยไม่ทำใครหล่ะ ถ้าด้าวเข้าไปโดยไม่มีผู้แนะนำแล้วก็มักจเป็นอย่างนี้อยู่เพียงแค่นี้ ถ้าไม่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าไม่บอกไว้หรอก ผู้ที่เป็นสาวกหมายความว่า นิสัยของผู้เป็นสาวกจะต้องตรัสรู้ตามผู้อื่นไม่ใช่ วิสัยของพระพุทธเจ้า เมื่อผู้ที่เป็นสาวกจะต้องตรัสรู้ตามผู้อื่นอีกนี่จะต้องอาศัยเฉพาะ เนื่องจากว่าบางสิ่งบางอย่างในเมื่อเราไปติดแล้วไปหลงแล้วไม่มีความสามารถที่จะก้าวไปโดยลำพังตัวเองได้ เพราะสิ่งนั้นมันเป็นผลที่เราไม่เคยรับเลย เรายังไม่เคยเห็นเลย ซึ่งถ้าเห็นแล้วก็เป็นสิ่งที่อัศจรรย์น่าตื่นเต้นก็คงจะไปหลงไหลอยู่เพียงแค่นั้น เมื่อหากไม่มีผู้ที่แนะนำ หรือบอกว่าอันนี้เพียงแค่นั้น อันนี้เพียงแค่นั้น ส่วนอันที่ดีจริงจิตที่พวกเราต้องการด้าวเข้าไปถึงนั้นไม่ใช่อันนี้มันต้งออยู่ข้าวนอก ต้องทำอย่างนั้นจะทำบายอันนี้เสียแล้วก็ก้าวเข้าไปสู่ผลอันนั้น จึงจะปรากฏอันนั้นมาก ถ้าหากไม่มีพระพุทธเจ้าหรือท่านผู้ใดที่มีความเข้าใจเชี่ยวชาญ ท่านผู้ทำไปก่อนเราไม่คอยแนะแนวทางให้อยู่ พวกเราก็ไม่มีทางสามารถที่จะก้าวไปได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้แบ่งนิสัยออกเป็นขั้น ๆ กัน ผู้เป็นสาวกเวไนย เช่นดุจในท่านดังนี้ มีวิสัยที่จะฟังธรรมจากสาวกองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วประพฤติปฏิบัติตาม เมื่อหากเราขัดข้องสงสัยตรงไหน ผู้จะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าองค์นั้นคอยแนะนำและตักเตือนผู้นั้นสามารถที่จะเป็นไปได้อันนี้อันหนึ่ง ผู้เป็นพุทธเวไนยก็จะต้องสดับฟังจากพระพุทธเจ้าโดยตรงอาศัยพระพุทธเจ้าเป็นผู้แนะนำให้จึงจะเป็นไปก็ดี แล้วอันหนึ่งเป็นพุทธวิสัย คือ วิสัยของพระพุทธเจ้า หรือวิสัยของผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าย่อมสามารถตรัสรู้โดยลำพัง พระองค์เองได้จะเป็นปัจเจกพุทธก็ดีหรือสัพพัญญูพุทธะก็ดี อันนี้ท่านจะต้องตรัสรู้โดยลำพังของพระองค์เองได้ทั้ง ๒ องค์ ทีนี้ถ้าหากเมื่อเราผู้จะเป็นพุทธเวไนยก็ดีหรือสาวกเวไนยก็ดี เราจะตรัสรู้โดยลำพังของเรานั้นรู้สึกว่าจะเป็นไปไม่ได้ต้องอาศัยครูอาจารย์คอยที่จะแนะแนวให้พวกเราดำเนินพร้อมทั้งสิ่งที่ควรไม่ควร พวกเราจึงสามารถจะดำเนินให้เป็นไปได้ อันนี้เมื่อพวกเราเข้าใจอันนี้แล้วก็รู้สึกว่าพวกเราทุกท่านผู้บำเพ็ญนี้คงจะไม่เผลอตัวเพราะเหตุไร เพราะอันตรายอันหนึ่งซึ่งแฝงอยู่ข้างหน้ามีอยู่เขาเรียกว่าสติวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส เมื่อสิ่งที่รู้เห็นนี้ สิ่งที่รู้เห็นทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ น่าตื่นเต้น น่าหลงไหลจริง เพราะเป็นสิ่งที่เราเพิ่งจะเข้าไปเจอใหม่ ๆ อย่างที่อาตมาพรรณนามาเมื่อกี้นี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าหลงจริง ๆ เพราะเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์จริง ๆ ซึ่งพวกเราก็คงจะทราบด้วยว่า พลังหรือกำลังตัวนำดานี้จะนำดาเราก้าวไปสู่ควมเป็นผู้หมดจดอาศัยความบริสุทธิ์เป็นพลังดัน หรือว่าเป็นยานพาหนะนำพาเราก้าวเข้าไปสู่ความพ้นไปเสียจากโลก เรียกว่าโลกุตตระ อันนี้ทำไมจะไม่เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นน่าอัศจรรย์มาก และเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายหาได้โดยยากและบรรดาพวกเราไช่ว่าเคยเจอหรือเคยพบเลยถึงแม้นพวกเราจะกิดมาหลายภพ หลายชาติก็จริงอันอื่นพวกเราพอที่จะพบกับรสชาติหรือรู้เรื่องราวมันได้ เพราะเราเกิดมาหลายชาติ เราก็อาจจะเห็นความเป็นอยู่ในโลกหลาย ๆ อย่าง ทั้งรวย จน ประสบสิ่งที่ปรารถนาอันใหญ่ยิ่งอะไรก็แล้วแต่เถอะ อันนี้เราเคยประสบมาแล้ว แต่สำหรับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราจะไม่เคยเจอ เราอาจจะเพิ่งมาเจอในปัจจุบันชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดอะไรเหล่านี้ เมื่อหากเราไม่มีใครแนะนำแล้วไม่มีทางที่จะก้าวไปได้ เราต้องติดจมและหลงไหล นี่มันเป็นอย่างนี้ ทีนี้ถ้าหากเราจะเข้าข้างมันอีก เอ๊! มันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์จริง ๆ นะ มองดูคนโน้น มองดูคนนี้ มองดูครูบาอาจารย์ เอ๊ ! ดูมันน่าแปลก จะเทียบเท่ากับเป็นอยู่ของครูบาอาจารย์น่าจะเป็นไปอย่างนั้น หรืออาจจะเป็นไปอย่างนี้ พร้อมทั้งคำพูดตีความหมายคล้าย ๆ ปัญญามันจะออกล่ะ มันก็ตีความหมายคำพูดนี้หมายความว่าอย่างนี้ขอบเขตมันไปถึงแค่นี้ กิริยาอาการที่แสดงออกอย่างนี้ต้องมีความรู้สึกอยู่นี้เข็นและนำพาขึ้น จะเป็นไปอย่างนั้น มักจะตีความหมายส่ง ได้ตอนนี้จะประมาทท่านได้แล้วจะดูถูกครูบาอาจารย์ได้ เมื่อเรารู้สึกว่ามีความดูถูกครูบาอาจารย์รู้สึกประมาทหมู่ครธได้ก่อสัญญาวิปลาศคอยแทรกคอยแซง อันนี้เรียกว่ากิเลสตัวลึก ลึกลับมาก ทีนี้ต่อจากนั้นไปไม่มีใครสอนได้ ไม่มีใครที่จะว่าได้ ว่ายังไงก็ไม่เชื่อไม่เอาไม่ฟัง ผลสุดท้ายได้สมาธิจิตที่จะเป็นในทางโลกุตตระมันก็ค่อย ๆ มืดค่อยหมอง แต่ได้ความรู้สึกที่สอดส่องมองตีความหมายอะไรต่าง ๆ มันก็ไปกันใหญ่ จับหนังสือขึ้นมากแต่ละเล่มนี้รู้ความหมายพร้อมทั้งที่จะชี้ความหมายได้ชัด อันนี้ถูก อันนี้ผิด อันนี้ผิด อันนี้ถูก แนะซะด้วยนะ ทั้งเหตุผลเอ่ยขึ้นมา งงงันไปหมดเลยคนน่าอัศจรรย์เพราะเหตุไร เพราะรู้สึกมันแปลก แต่ดังกล่าวนี้ไม่มีอะไร เรียกสัญญาวิปลาศ แต่มันเสียอยู่อย่างเดียวว่ามันเป็นทิฎฐิวิปลาโส เพราะการทบทวน สิ่งที่ทบทวน และสิ่งที่มรมารนั้นไม่พอ ถ้าเรามีกำลังตัวที่ทวนนี้เข้ามาจัดแต่ง หรือทบทวนได้อย่างพวกเราสามารถที่จะมองเห็นเราเป็นใคร เราอยู่ในอันดับไหน เป็นพุทธเวไนย หรือสาวกเวไนย หรือวินัยของพุทธทั้งสอง เหล่านี้คงจะเป็นจำพวกสาวกเวไนย ซึ่งสดับตรับฟังคำจากผุ้ที่สาวกของพระพุทธเจ้าจากองค์อื่น วิสัยของเราเป็นอย่างนี้ เราทำอย่างนี้ไม่ใช่เราดีเด่นมาได้เอง เราต้องอาศัยครูบาอาจารย์นำพาเราลูกศิษย์ผู้มีครูบาอาจารย์ของเรา ซึ่งมาเป็นครูบาอาจารย์ของเราได้ท่านต้องเชี่ยวชาญ ท่านต้องผ่านสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มาแล้ว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ท่านต้องได้ ท่านเห็นความอัศจรรย์เหล่านี้ ก่อนเราซึ่งเรามาตื่นเต้นและหลงใหลพร้อมทั้งตัวเราเห่อเหิมก็น่าจะอายครูบาอาจารย์ บางทีอาจภายในของท่านมี ท่านอาจสามารถที่จะมองเห็นจิตของเราที่ตื่นเต้นและหลงใหลในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ท่านก็หัวเราะอยู่ ณ ภายในอันนี้เป็นสิ่งที่น่าอายอย่างยิ่งอะไรเหล่านี้ ถ้ามีกำลังหรือเหตุผลอันนี้เข้ามา หรือสามารถมาทำลายให้กระเจิงไปเลย ผลสุดท้ายตัวเราเองก็ไม่มีอะไรก็นึกถึงครูบาอาจารย์และเคารพและนับถือยู่ตลอดเวลา ผลสุดท้ายเมื่อมีส่วนใดส่วนหนึ่งซึ่งปรากฏเป็นวิปลาสขึ้นมา เมื่อครูบาอาจารย์พูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น ย่อมเชื่อถือได้ และยอมรับฟัง หรือยอมรับเอาเป็นเหตุผลอันถูกต้องที่ดี เสมอก็เป็นอันว่าผู้ที่จะก้าวเข้าไปสู่มรรคผลนั้นก็เป็นอันว่าสะดวกที่สุดและก็สามารถที่จะก้าวเข้าไปได้ง่ายที่สุด อันนี้เป็นอุบายวิธีที่สอนหรือเตือนพวกเราให้รู้จักทำลายในสิ่งที่ควรทำลาย และก็รักษาไว้ซึ่งมรรควิถีอันดีได้แก่ มัคคุเทศก์นี้ อันนี้จะก้าวเข้าไปสู่มรรคผล ซึ่งเป็นมัคคุเทศก์และสายทางของท่านหรือเปล่า อันนี้เป็นอุบายวิธีที่เตือนเราว่าเป็นเบื้องต้นอันหนึ่งเหมือนกันก็มีอย่างนี้ ใครสงสัยอะไรอีกบองว่าว่ามา มันปวดหัวไอ้ตัวนั้นไม่ทันมันก็คอยที่จะเล่นงานเรา เหมือนกันนะจริง ๆ ทีแรกก็บอกว่า เอ๊ ความจริงร่างกายสังขายไม่น่าห่วงมันนะดีไม่ดีมันอวดตัวเองซะด้วยนะสังขารตัวเองพูด ๆ แล้วก็คือ สังขารที่จะต้องทำประโยชน์ ถ้าจะเรียกว่าชีวิตอย่างนี้ก็เป็นชีวิตที่มีค่าหน้าที่ และประโยชน์ที่เราจะต้องทำมีมาก ถ้าเราไม่ถ่วงสังขารนี้ไว้ เราจะเอาอะไรล่ะมาเป็นเครื่องมือช่วย ถ้าขาดร่างกายแล้วประโยชน์ที่เราจะทำเราก็ทำไม่ได้อะไรเหล่านี้นะก็ต้องสนับสนุนอยู่เสมอ เอ๊ ถ้าเราไม่มีเหตุผลหรือคุณธรรมมา เหตุผลที่เหลือกว่านั้นมาแก่ละก็รู้มันไม่ได้ ส่วนเหตุผลมันก็อย่างที่ว่าจะดูเจตนาหรือจุดประสงค์ของเราก็คือ เราก็มุ่งที่จะบำเพ็ญตัวเองให้ถึงที่สุด พร้อมทั้งนำพาหมู่คณะผู้มุ่งหวัง และผู้ ปราถนาพร้อมทั้งมีบารมีเกี่ยวข้องกันพอที่จะดำเนินให้เป็นไปได้เราก็ต้องเสียสละ และกล้าลงทุน ลงแรง อำนวยช่วยเหลือพวกท่านทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อเราได้ทำอย่างนี้เราจะไปทำยังไงอีก แล้วอย่างอื่นทำไมจึงกล้าเสียสละได้ แล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราไม่กล้าเสียสละ แล้วเราจะไม่กล้าเสียสละยังไงเล่าอะไรเหล่านี้ มันแล้วแต่ไอ้ตัวนั้นมันนำมาเหมือนกันหละ ถ้านำเหตุผลเหนือเหตุผลของตัวสนับสนุน ซึ่งทำให้เราล้มเหลว พอมันเหนือมันตกก็จมไปซะหาย ที่มันโผล่เหมือนกันนะ มันก็เอาเหมือนกัน พวกคุณก็ต้องพยายามเหมือนกันอันนี้นั่งสมาธิกันแล้วก็จะว่าเหมือนกันหล่ะ อื้อ เราจะไปทำให้มากนักเดี๋ยวเกิดร่างกายมันไม่ดียิ่งจะเป็นอุปสรรคใหญ่ พักผ่อนซะหน่อย ไม่ดีหรืออะไรต่ออะไรเหล่านี้ ต้องดูมันซะก่อน ว่ามันสมควรแล้วหรือยัง อันนี้ตัวสนับสนุนให้เป็นกิเลสพญามารรึเปล่า อ้าว มันกิเลสนี่ พญามารนี่ ไม่เอาไม่เอาอะไรเหล่านี้ เราก็ต้องเอากำลังมากดดันไล่ซะให้มันออกไปอะไรเหล่านี้

ณ ศาลาการเปรียญวัดเขาสุกิม วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๑๐


หน้าแรกธรรมะ
กระดานข่าว
ลงสมุดเยี่ยม
อ่านสมุดเยี่ยม
ผู้เขียน

เชื่อมโยงกัลยานิมิตร >>
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว / สมเด็จพระมหาสมณเจ้า / พระนิพนธ์สมเด็จพระญาณสังวร / พุทธประวัติ, พุทธโอวาท / ธรรมะพุทธองค์ / พุทธศิลป์ โดย อ.เฉลิมชัย / ธรรมะจากพระป่า / กองทัพธรรมพระกัมมัฏฐาน / ประวัติหลวงปู่มั่น / หลวงตามหาบัวช่วยชาติ / จังหวัดจันทบุรี / อำเภอนายายอาม / รอยยิ้มของพ่อ

เหมาะสำหรับจอภาพที่แสดงผลที่ 800 x 600 และเพื่อความสวยงามยิ่งขึ้นหากแสดงผลที่ 1024 x 768 (Microsoft Internet Explorer)
วัดเขาสุกิม
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2543

พัฒนาและออกแบบโดย นายทวีศักดิ์ รัตนคม    
ติดต่อสอบถามได้ที่ webmaster@khaosukim.org   
และทาง msn ได้ที่ hs2wjo@hotmail.com