หลวงปู่สมชาย
ฐิตวิริโย ประธานสงฆ์วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี |
เรื่อง : การเดินทางสัมมาสมาธิ |
การหักห้ามจิต
คือ การหักห้ามความรู้สึกของเรา ความรู้สึกของเราที่มีต่อสิ่งกระทบ
คือเหตุการณ์ที่จะชวนให้เราเกลียด โกรธ รัก ชอบ ต้องการ ไม่ต้องการ จะชวนให้เราหัวเราะ
ร้องไห้ ความรู้สึกต่อเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ การหักห้ามเราก็ไม่ได้ไปหักห้ามที่ตรงไหน
ก็หักห้ามตรงที่มีความรู้สึกที่แหละเราจะไปบำรุงก็บำรุงตรงความรู้สึกนี้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญจึงไม่ได้มองจิตเป็นตัว ให้มองเห็นจิตให้ชัดว่า มันจะน้อมเอียงไปในทางให้โทษหรือให้คุณ
หากเมื่อประกอบด้วยโทษเราก็จะได้หักห้ามเมื่อประกอบด้วยคุณเราก็จะได้ส่งเสริม
โดยจุดประสงค์แล้วมีเพียงแค่นี้ เพราะฉะนั้นจึงขอเตือนบรรดาผู้ปฏิบัติทั้งหลาย
ขอจงดำเนินให้เป็นไปตามรูปนี้เถอะ ถ้าเราดำเนินให้เป็นไปตามรูปนี้ตรงกับเจตนาของผู้แนะนำ
ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะไม่ตรงกับเจตนา ทีนี้ถ้าเราเข้าใจว่าอย่างนี้ เป็นเหตุเบื้องต้นแล้ว เราจะได้เข้าใจต่อไปว่าความรู้สึกของจิต ที่รู้สึกต่อสิ่งกระทบที่เป็นปัจจุบันเหตุ ที่กำลังปรากฎอยู่ก็ดี หรือความรู้สึกของจิตที่นึกตรึกถึงอารมณ์ หรือเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว แต่อดีต เกิดมีความรู้สึกขึ้นมาอย่างไรบ้าง เราจะใช้กำลังตัวอริยมัคคุเทศก์หรือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี้สอดส่องพิจารณาให้เป็นว่า ความรู้สึกอย่างนี้เป็นไปเพื่อความเศร้าหมองความรู้อย่างนี้เป็นไปเพื่อความสะอาดหมดจด อยู่ในระบบของธรรม และความรู้สึกอย่างนี้เป็นอุบายวิธีหรือปัญญาของกิเลส ที่จะนำจิตเข้าไปเชื่อมโยงต่อภพชาติ หรือเป็นการทอดสะพานหาภพชาติ ขอให้เราพยายามตั้งสติปัญญาคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของจิตนี้อยู่เสมอ อย่าเผลอ อย่าประมาท เพราะอุบายของจิตที่จะนำพาเราเข้าไปสู่ภพนี้ ถ้าเราไม่มีสติปัญญาที่เรียกว่าอริยมัคคุเทศก์ที่เราสร้างขึ้นมาให้พอกับความต้องการแล้ว หรือให้มีอำนาจเหนือจิตแล้ว มักจะเข้าข้างมันเสมอ อุบายมันลึกลับนัก บางทีเรานั่งสมาธิกันนาน ๆ กิเลสมันก็หาอุบายแล้วว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้มีอันนั้น มีอันนี้จะต้องทำ นอนเถอะ ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ อาจจะทำงานไม่ได้ จะง่วงนอนสัปหงกอะไรต่ออะไรก็แล้วแต่ อุบายอันลึกลับต่าง ๆ ที่ว่านี้ไม่ใช่ปัญญาญาณ เป็นอุบายของกิเลส ถ้าเราเกิดไปหลงไหลตามมันแล้ว เป็นอันว่าเราจะต้องวิ่งตามหลังมันเสมอ ไม่มีทางที่จะออกก่อนมันได้ เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามดูให้ดี ๆ อุบายต่าง ๆ อย่างอื่นอีกที่มันจะหาอุบายให้เรา ตามหลังมันนี้มีมากมายหลายอย่าง เช่นบางผู้บางคนนั่งไป ๆ ก็เกิดนึกว่าเรานี้ดูเหมือนจะไม่มีวาสนาเป็นอริยบุคคลได้แล้ว บุญน้อย วาสนาน้อย อาภัพบุคคลแล้ว อะไรเหล่านี้ ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม หันไปสร้างบารมีอย่างอื่นเสียเถอะ หรือภายหลังกลับบ้านเสียเถอะ ความรู้สึกอย่างนี้ไม่ใช่ปัญญาญาณ ความรู้สึกดังกล่าวนี้เป็นปัญญาของกิเลส มันหาอุบายวิธีจะผูกมัดเราให้ติดอยู่ในโลก ถ้าเราเข้าข้างมันเมื่อไรก็เป็นอันว่าเราวิ่งตามหลังมัน เชื่อมัน หลงภาพมัน อย่างนี้เป็นจะเป็นเหตุให้เราไม่มีโอกาสที่จะทำลายซึ่งภพชาติของจิตได้เช่นเดียวกัน หรือบางคนที่มีลูกมีหลานทำไปทำไป ก็นึกถึงลูกนึกถึงหลาน ว่าเขาจะเป็นอย่างไรหนอ เขาจะอยู่สบายดีหรือเปล่า หรือจะเจ็บป่วย เขาจะมีการทะเลาะเบาะแว้งกันหรือไม่ หรือมีความสามัคคีกันดี แล้วมันก็หาอุบายหลบชวนให้กลับบ้านเสียเถอะ ออกพรรษาแล้ว ถ้าเราไปหลงเชื่อตามมัน เราก็จะต้องวิ่งตามหลังมันไม่มีที่สิ้นสุด เพราะมันคอยหาโอกาสที่จะหลอกลวงเราให้ลุ่มหลงเป็นไปตามอำนาจของมัน ถ้าเผลอยอมวิ่งตามหลังมันแล้วจะไม่มีที่สิ้นสุด ยกรูปเปรียบคล้ายกันกับม้า ม้ามันวิ่งเร็ว ถ้าเราวิ่งตามหลังมัน เราก็ไม่มีทางที่จะวิ่งทันมันได้ มันก็ไปของมันเรื่อย ๆ เตลิดเปิดเปิง เมื่อไรถ้าเราสามารถขึ้นหลังมันได้ และจับบังเหียนของมันได้แล้ว เราจะบังคับให้มันไปไหนก็ยังพอไปได้ แต่ถ้าเรายังขึ้นหลังมันไม่ได้ เราก็ไม่สามารถที่จะบังคับให้มันไปตามเส้นทางที่เราต้องการได้แล้ว ก็อย่าหวังเลยว่าเราจะวิ่งตามมันทัน เรื่องปัญญากิเลสนั้นมันลึกลับเหลือเกิน คิดดูซิ คนที่มีปัญญาทางโลก ถึงแม้ว่าเขาจะคิดเรื่องอะไร ๆ จิปาถะ ซึ่งเรามองเห็นแล้วว่าเขาคิดได้ดีเลิศ ปัญญาโลกีย์แบบนั้นก็ไม่มีทางเหนือกิเลสไปได้ เพราะเหตุไร ก็เพราะว่าปัญญาของกิเลสมันเหนือกว่านั้นไปอีก จึงเป็นเหตุให้ผูกมัดสัตว์ หรือมนุษย์ให้จมติดอยู่ในโลก มีภพ มีชาติ อยู่ได้ ก็เพราะปัญญาของมันดีหรือเหนือกว่าปัญญาโลกียชนธรรมดา มันลึกลับมากถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจว่าปัญญาของกิเลสนี้ฉลาดมาก เราจึงต้องพยายามตั้งสติปัญญาคอยพยายามดักจ้องดูให้ดี ๆ เราอย่าไปเข้าข้างมัน อย่างไปหลงภาพที่มันหลอกหลอน เพราะมันจะทำให้เราวิ่งตามหลังมันไม่มีที่สิ้นสุดดังกล่าว เราต้องพยายามดังสังเกต ถ้ามีความรู้สึกเกิดขึ้นมาในรูปนี้ นี่คือสายใจของภพใช่หรือไม่มันเกิดมาอย่างนี้ทำให้เราเกิดปฏฆะความคับแค้นใจหรือไม่ เราต้องใช้บทวิจารณ์และทบทวนเสมอเมื่อมองเห็นว่าเป็นไปเพื่อความเศร้าหมอง เป็นไปเพื่อการต่อภพของจิต เป็นอารมณ์ของโลกธรรมดา ๆ ซึ่งเป็นเหตุนำพาเราให้ได้รับความทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด ก็เพราะความรู้สึกอันนี้เอง เราก็ต้องทำลายเสีย หมายความว่าระบบแบบนี้เราไม่ชอบ ตัดทิ้ง เรียกว่าระบบเก่า ส่วนระบบใหม่ ความรู้สึกใดโน้มเอียงเข้าไปในทางธรรม เป็นไปเพื่อความเจริญด้านธรรม ส่วนด้านจิตใจก็เป็นไปเพื่อความสอาดหมดจดเป็นไปเพื่อเอาชนะกับความรู้สึกว่ากิเลส ๆ ความรู้สึกดังกล่าวนี้คึกคักขึ้นมา ต้องส่งเสริมหรือประคองรักษาไว้ให้คงที่ อย่าให้เสื่อม อย่าให้ถอย ถ้าเราทำได้อย่างนี้มีหวังว่าคนที่วิ่งออกก่อนเรานี้ไม่มีโอกาสที่จะแซงหน้าเราได้ เรามีโอกาสที่เรียกว่าจะขึ้นหลังมันแล้ว บังคับมันให้เดินไปตามเส้นทางที่เราต้องการ เราจะไปไหนก็บังคับมันไปได้เพราะฉะนั้น เราผู้บำเพ็ญทั้งหลายจงเข้าใจเถอะว่า ปัญญาของกิเลสมันละเอียดมาก สุขุมมาก มันสามารถหลอกหลอนคนและสัตว์ให้มีภพชาติวกวนอยู่ในโลก ผู้ที่อวดตนว่ามีปัญญาสักแค่ไหนก็ตาม หากในเมื่อยังมีภพมีชาติ มีการหมุนเวียนเกิด ๆ ตาย ๆ อยู่แล้วก็แสดงให้เห็นว่ายังไม่เหลือกิเลสหรอก ยังโง่อยู่ หากผู้ใดสามารถทำลายความรู้สึกอันที่จะต่อภพ ต่อชาติ ที่ทำให้เราได้รับความทุกข์นี้ได้ ผู้นั้นจึงจะเรียกว่า ผู้ฉลาด ฉลาดอยู่เหนือจิตตัวเอง ฉลาดเหนือกิเลส ไม่มีทางที่จะให้จิตของเราเข้าไปสู่ระบบของกิเลสได้ ประคองจิตของตัวให้เข้าสู่ระบบของธรรม เป็นความเจริญงอกงามเรื่อยไป ต้องเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น พวกเราผู้ประพฤติปฏิบัติขอให้เข้าใจว่ากิเลสมันละเอียดมาก ความรู้สึกของจิตที่มันโน้มเอียงไปสู่ระบบต่าง ๆ ทั้งทางด้านกิเลส และด้านธรรม ผลของสมาธินี้ รู้สึกว่าผลจะปรากฎให้ผู้ที่เป็นเจ้าของสมาธิที่ทำได้นี้ จะเปลี่ยนหน้ากันมาเสมอเหมือนกัน รสชาติจะต้องเปลี่ยนไปไม่มีที่สิ้นสุด เราลองนึกดูได้ เรานึกถึงพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงดื่มด่ำอยู่ในธรรมจนกระทั่งตลอดอายุขัยของพระองค์พร้อมทั้งสาวกทั้งหลายของพระพุทธองค์ด้วย ก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครถอยหลังออกมาเลย ก็เพราะเหตุไร ก็เพราะคุณค่าของสมาธิจิตนี้ดีมาก วิเศษจริง ๆ รสชาติดีเลิศจริง ๆ สิ่งที่เรารู้เห็นจะเป็นสิ่งที่แปลกมากเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดสามารถดำเนินเข้าไปสู่ธรรมได้ ท่านเรียกว่าอัจฉริยมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์อัศจรรย์ธรรมดา ๆ โลกียธรรมดาสามารถคิดเรื่องอะไรต่ออะไรต่าง ๆ หรือดำเนินสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จได้ ในเมื่อคนอื่นทำได้ยาก หรืออาจจะไม่สามารถทำได้ เขาเรียกว่า คนอัศจรรย์ แต่สำหรับผู้ที่สามารถประคับประคองจิตของตนเข้าสู่ระบบของธรรมได้ ไม่ให้เป็นไปตามระบบของกิเลสท่านเรียกว่า อัจฉริย มนุษย์ ซึ่งเป็นมนุษย์ที่มหัศจรรย์มาก สูงยิ่ง เพราะฉะนั้นพวกเราผู้ดำเนินทางด้านสมาธิจิต จงพยายามสร้างสติปัญญาที่พวกเราสมมุติว่าตัว อริยมัคคุเทศก์ ให้มาก ให้ยิ่ง ให้เหนือกว่าความรู้สึกของจิตที่มันจะเล็ดลอดเข้าไปต่อภพ พยายามสร้างขึ้นให้มาก สร้างทุกอิริยาบาท การเดินเหิน นั่ง นอน ยืน ทุกสิ่งทุกอย่างเราอย่าประมาท เราต้องพยายามสร้างหรือจ้องคอยสังเกตจิตอยู่เสมอ ว่ามันจะเคลื่อนไปต่อเรื่องอะไร เมื่อมันเคลื่อนเข้าไปแล้ว มันเกิดความคับแค้นใจไหม เดือดร้อนไหม เป็นไปเพื่อความเบียดเบียนผู้อื่นไหม เบียดเบียนตัวเองไหม ต้องพยายามมองเสมอ ถ้าหากเป็นไปในรูปนี้ต้องทำลายทันที ไม่เอา บอกว่าระบบนี้ฉันไม่เอาแล้ว เลิกแล้ว พอกันทีแล้ว ไม่เอาแล้วแบบนี้ไม่ใช่แล้ว ฉันจะใช้ระบบใหม่ ฉะนั้นจึงขอให้พวกเราพยายามดำเนินให้เป็นไปในด้านธรรม ต้องพยายามตั้งสติสตางค์ให้ดี ๆ พยายามสร้างสติปัญญาขึ้นให้มากให้ยิ่ง เมื่อพวกเราดำเนินให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ควรแล้ว ผลที่ได้รับของพวกเรานี้ต้องเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ ไม่เสียทีที่พวกเราสละเวลามาบำเพ็ญ ถ้าไม่เช่นนั้นจะเป็นการเสียเวลาเปล่า หรือการเสียสละของพวกเราที่มาดำเนินกันอยู่นี้ จะไม่คุ้มค่าที่พวกเราเสียสละมา เพราะฉะนั้นจึงขอให้พวกเราตั้งอกตั้งใจทำให้ดีเถอะ ถ้าทำให้ดี ทำให้ถูก เป็นไปในทางสัมมาสมาธิแล้ว ไม่ขาดทุน ไม่มีทางขาดทุน ไม่เสียเวลาเปล่า ที่พวกเรามาบำเพ็ญในทางด้านสมาธิจิต อย่างที่อาตมาเคยนำมาเล่าสู่ฟังเสมอ ๆ ถ้าการทำสมาธิจิตนี้ไม่ดีแล้วพระพุทธเจ้าคงไม่ได้อยู่สอนพวกเราตลอดอายุขัยของพระองค์แน่ เพราะในสมัยที่พระองค์ยังทรงเป็นฆราวาสอยู่นั้น พระองค์มีความสุขมาก พระองค์คงจะทรงถอยไปหารับความสุขแบบนั้นอีกแน่ ๆ แต่นี่ต้องแสดงให้เห็นว่า ความสุขทางด้านสมาธินี้เหนือกว่า พระองค์จึงได้ทรงดื่มด่ำอยู่ในผลของสมาธิจิตจนตลอดอายุขัยได้ พวกเราก็เช่นเดียวกันนั่นแหละ ถ้าหากว่าพวกเราทำได้ พวกเราก็จะดื่มด่ำอยู่ในคุณค่าของสมาธิจิตนี้จนตลอดอายุขัยของพวกเรา ไม่ถอยหลังแน่ เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราผู้สมบูรณ์ด้วยเหตุผล จงเป็นผู้มีเหตุผลในตัวของตัวเอง แล้วก็พากันเจริญทางด้านสมาธิจิต ทดสอบทดลองเอาเองว่า ผลของสมาธิจิตที่เราทำได้นี้ ผลเป็นเหมือนองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าท่านได้หรือไม่ ข้อสังเกตนั้นคือ ผลนั้นเป็นไปเพื่อการประหารกิเลส ผลนั้นไม่เป็นไปเพื่อการเบียดเบียน ความรู้สึกนั้นเป็นไปเพื่อความเจริญทางด้านธรรม สิ่งเหล่านี้จะเป็นข้อพิสูจน์ให้พวกเราสังเกตได้ เพราะเหตุนี่จึงขให้พวกเราจงตั้งอกตั้งใจพากันดำเนินให้เป็นไปในทางสัมมาสมาธิด้วย ปัญญาอันนี้ เป็นสุปัญญา จึงอุตส่าห์อธิบายถึงหลักที่พวกเราจะต้องดำเนินปฏิบัติให้เป็นไปตามแนวนี้ เมื่อพวกเราท่านทั้งหลายดำเนินให้เป็นไปตามแนวนี้แล้ว พวกเราก็จะมีความสุข ความเจริญงอกงาม หรือเป็นไปในด้านสมาธิที่ถูกต้อง ขอให้พวกเราจงประคับประคองดำเนินไปตามสายทางปฏิปทาที่แนะนำมานี้ พวกเราก็จะมีความสุขความเจริญ งอกงามไพบูลย์ในบวรพุทธศาสนา และคำที่ว่ากิเลส ๆ จะวิ่งออกหน้าพวกเรานั้นจะไม่มีโอกาสพวกเราจะได้ประคับประคองจิตของพวกเราให้ตกกระแสที่เรียกว่า อริยมัคคุเทศก์ หรือธรรม ให้เป็นไปเพื่อความเจริญงอกงาม อาตมาภาพอธิบายมายืดยาวแล้ว ขอยุติเพียงแค่นี้ เอวัง ๆ |
กระดานข่าว |
อ่านสมุดเยี่ยม |
เชื่อมโยงกัลยานิมิตร
>> |
วัดเขาสุกิม สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2543 |
พัฒนาและออกแบบโดย
นายทวีศักดิ์ รัตนคม ติดต่อสอบถามได้ที่ webmaster@khaosukim.org และทาง msn ได้ที่ hs2wjo@hotmail.com |