นี้ส่วนคณะแม่ชีก็ให้ตั้งใจบำเพ็ญ
เป็นกลุ่มเป็นหน่วยเป็นพวก กลุ่มชิเกิน กลุ่มของชีหม่อม ชีแม่กลุ่ม ของชีแม่ฉวี
ก็แยกกันเป็นกลุ่ม ๆ ก็บำเพ็ญเข้มงวดกวดขันกันมาก ๆ ตอนนี้ก็ถือว่าเราเป็นผู้มีโชคดี
มีครูบาอาจารย์มาประสิทธิ์ประสาทอบรมสั่งสอนธรรมะให้ แล้วก็ท่านมาให้เราได้กราบได้ไหว้
ท่านมาให้เราได้ทำบุญ ก็ได้บุญได้กุศลเยอะทุกปีนะ ไม่ขาดทุนหรอก พระเดชพระคุณพระเจ้าคุณศรี
ท่านมาอบรมพระเท่า ๆ กับมาอบรมพวกเราแหละ พวกเราก็ได้ยินทุกวัน ๆ ก็เกิดความรู้ความเข้าใจได้ดีขึ้น
รู้จักหน้าตาของกิเลส ลูกตุ้มถ่วงแต่ละตัว ลักษณะหน้าตาเป็นยังไง ธรรมะผู้ปฏิบัติหรือว่าธรรมะอันเป็นธรรมาวุธ
ซึ่งจะปราบทำลายนั้นได้บทใน ท่านก็สอนเราหมดแล้ว พอคณะมาปฏิบัติกัน ก็ยังเหลือพระเดชพระคุณท่านพระครูสุวัฒน์
ท่านก็ยังได้รับความรู้ ความเข้าใจเพิ่ม พูดถึงความรู้ความเข้าใจที่เราได้รับการศึกษา
ได้ยินได้ฟังมาพอสมควร ก็เข้าใจปฏิปทาข้อปฏิบัติที่ถูกต้องดีแล้ว ก็ขอให้ตั้งใจปฏิบัติเอาผลของสมาธิให้ได้ตั้งใจเถอะ
รวมความแล้วก็ไม่มีอะไรมาก อย่างที่เล่าเมื่อคืนหละ ลักษณะหน้าตาแค่ไหน
จะพูดไปให้มากแค่ไหนก็ตาม กิเลสมีพันห้าร้อยตัว กิเลสมีพันห้าตัณหามีร้อยแปดท่านว่าอย่างไร
ลักษณะหน้าตาของเขาก็เยอะ ยิ่งว่าตามหลักอภิธรรม บรรดาผู้ดำเนินทางด้านอภิธรรม
ยิ่งไปศึกษายิ่งยุ่งใหญ่ จิตมันมากมายเหลือเกินไม่รู้กี่ดวง โอ้ยแยกแยะออกมา
มัวแต่ไปวิ่งมองจิตอยู่ก็ไม่สงบอันแล้ว มีแต่ความฟุ้งซ่าน หาอุบายวิธีล้อมจิตให้สงบไม่ได้
เหมือนวันนี้ได้เล่าถึงท่านอาจารย์มหาปิ่นกับหลวงปู่มั่น ภิริทัตเถระคุยกัน
ท่านอาจารย์มหาปิ่นก็ได้รับการศึกษามาดีทางด้านปริยัติ ท่านก็เอาหลักการปริยัติของท่านนี้มายืนการปฏิบัติ
ดำเนินไปไม่ถูกก็เอาแบบนั้น เอ้าดำเนินไม่ถูกเอาแบบนี้ ว่าไปตามหลักสูตรที่เรียนมา
พอท่านจริตวิสัยของตัวเอง เรามีจริตอะไรควรเอาธรรมะอะไรก็ว่ากันไป บางทีก็มองเห็น
เอ..มันราคะจริตเอาสุภะกรรมฐานมาว่ากัน บางวันเหมือน ๆ โทษะจริตมันก็ไปตามเรื่องตามราว
เอาได้โน้นเอาไอ้นี่มาไม่เป็นไปสักอย่างเดียว รูปคลำงงงวยกันอยู่นั้นแหละ
คอยไล่ไปตามตำรา ตามประสาของคนรู้มาก คนรู้มากคนเรียนมาก คนรู้มากก็ยากนาน
รู้น้อยก็พลอยรำคาญ เออ..ท่านว่าอย่างนั้นละนะ ภาษาลาว ท่านพูดว่าไม่ดี๊
ๆ ก็ไมดี๊เท่าว่าตายไม่รู้เสียก็เป็นหนี้เท่าว่าตาย เพราะนั้นท่านให้อุบายวิธีแล้ว
แม้มันชั่งเข้าท่าจริง ๆ ท่านบอกว่าท่านมหาเอ๋ยเราเรียนรู้ก็สุดแค่นั้น
ว่าไปเอาเถอะจะเอายังไงก็เอาเถอะมันไม่มีที่สิ้นสุดหรอกน่า หาอุบายวิธีล้อมจิตให้อยู่ในวงแคบก็แล้วกัน
อาจารย์มหาปิ่นก็ยังเถียงอยู่นั้นละว่า หลักสูตรทางพระศาสนามีมาเราไม่เอามาใช้ได้ยังไง
ศาสนาที่สืบมาก็ต้องอาศัยพระไตรปิฏกเป็นหลักยืน เราไม่อิงพระไตรปิฏกเราจะภาวนาอย่างไร
มันก็จะหลงโลกละซี่ ไปโน้นเสียอีก หลวงปู่ท่านบอกว่า เอาเถอะถ้าอย่างงั้นลองดู
ลองเสียให้มันทุกแบบเอาเข้าไปเถิด ท่านก็ลองของท่านเหลือเกินก็ไม่ได้ผลจริง
ๆ หลวงปู่ท่านก็บอกว่าวางตำราเสียซี่ วางตำราซะเออ มันเกิดความฟุ้งซ่าน
มันก่อให้เกิดความสงสัย นิวรตัวสังโยคมันจูง นิวรนี้มันถึงท่านว่าอย่างงั้น
เอากันไปเอากันมา หลายครั้งหลายคราวมันก็ไม่ได้ผล ก็ชักหวน ๆ โทสะหลวงพ่อท่านพูด
หลวงปู่ท่านสาธยายเรื่องกิเลส มันก็มากมายนะ แต่ถ้าจะสรุปเข้ามาให้มันน้อยว่าแล้วก็
ซึ่งจะได้ปฏิบัติให้มันง่ายลง มันก็ไม่มีอะไรหรอกน่า มีความดีใจ เสียใจ
นี้เป็นของสำคัญมาก เหตุการณ์ประจำวันนี้สำคัญที่สุด ท่านก็พูดง่าย ๆ อย่างเราพูดนี้และปิดตำราซะวางมือซะให้ดีเถอะ
หันมาปฏิบัติกัน ท่านก็แนะนำวิธีให้เลย อย่างพวกเราแนะนำกันอย่างนี้ ให้ปฏิวัติกิริยาภายนอก
ตั้งแต่เคลื่อนไหวของกาย ของวาจาไล่ไปเลย เป็นแบบกายาปัสสนาปฏิสฐาน ให้มีสติรู้แต่การเคลื่อนไหว
จะหยิบจะวางของ จะลุกจะเหิน จะเดินจะนั่ง ท่านให้เรียกสติสัมปชัญญะมาให้สมบูรณ์
ตั้งเป้าเอาไว้อย่างดีว่าเราลูกพระตถาคต เราสมณะเอากันง่ายนี้เสียเลย ทุกกิริยาอาการให้เกิดความเหมาะสม
ต้องพยายามแต่งให้สภาพเรียบร้อย จะมองซ้ายมองที่จะขวาทีจะปราศจากสติสัมปชัญญะ
ปฏิบัติกันอยู่ตรงนี้ให้ชำนาญ ท่านก็เอากันอยู่เป็นเวลาเกือบเป็นเดือน
เป็นเวลาพรรษาหนึ่ง ทำไปทำมาทำไปชักจะมองเห็นทาง เห็นรู้ทางนิด ๆ เออเข้าขั้นจนพอออกพรรษาแล้วท่านก็บอกว่าไป
ไปที่มันสงบก็เอาเสียซี่ ท่านก็ต้องไปหาที่สงบก็ดำเนินของท่าน พยายามแต่งหรือบังคับส่วนเคลื่อนไหว
เข้าไม่ได้บังคับแต่จิตเขาจิตใจไปบังคับเขา ไปกระตุ้นเขา เขาก็ไหวไปตามอำนาจของจิตที่บัญชามา
แต่จิตต้องอาศัยอีกตัวหนึ่งบัญชาเข้ามา บัญชาจิตซึ่งอำนาจส่วนสูงกว่าจิต
ได้แก่กิเลสตัณหาหรือสิ่งต่าง ๆ ซึ่งบัญชาจิตให้เป็นไป เพราะนั้นการแสดงออกในลักษณะทั้งปวง
ในเมื่อจิตดี การแสดงออกก็ดี เมื่อจิตไม่ดีการแสดงออกก็ไม่ดี ในเมื่อกิเลสมันบัญชาเต็มที่
การแสดงออกมันก็เหมือนผียักษ์ ผีโขนนั้นเอง เพราะนั้นก็ต้องปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิวัติตัวนี้เข้าไปละ
ทีแรกจริง ๆ ท่านอาจารย์มหาปิ่นก็บอกว่า มันเรื่องภายนอกงมงาย เรื่องสมาธิต้องดิ่งเข้าไปสู่ความสงบ
หลวงปู่เถิดน่าลองดูเถิด ทำดูเถอะสมาธิหรือไม่สมาธิก็ไม่รู้ ให้เราค่อย
ๆ ปลั้มเข้าไปเถอะ แต่เวลาว่างมานั่งกำหนดพุทโธ พุทโธ แต่เวลาออกมาก็คุมกันอย่างนี้
เรื่อยไปจนเกิดความชำนิชำนาญ จนสามารถบังคับได้เต็มที่ การเคลื่อนไหวทางด้านกายไม่มีข้อบกพร่อง
เกิดมีพลังด้านจิตแข็งขึ้น ดีขึ้น เกิดความสุขุมหนักแน่นจิตมีกำลัง
ในเมื่อเผลอตัวจิตก็อ่อนกำลังลง
ท่านก็เร่งขึ้น จิตมีกำลัง มีความสุขุมมีความหนักแน่น ดีขึ้นเป็นลำดับแถมยังให้ความสุขขึ้นมา
คือความอิ่ม ความเต็ม เอท่านว่าอย่างนี้ชักจะมองเห็นเป้าแล้วว่าทำท่าเสียละโว้ย
ท่านก็เร่งของท่านเร่งไปเร่งมาก็สูงขึ้น อำนาจก็สูงขึ้นได้เช่นกัน ก็สูงเรียบร้อยขึ้น
ตำราเป็นอันว่าไม่มองกัน เชื่อเสียแล้วตอนนี้ไม่เอาแล้ว ก็บุกกันเลยทำเรื่อยไป
เรื่อยไปยิ่งทำจิตยิ่งมีกำลัง ยิ่งทำก็ยิ่งสูง ยิ่งทำก็ยิ่งได้ความสุขขึ้นมา
เข้าขั้นเสียแล้ว เสร็จเรียบร้อยดีแล้วท่านก็พยายาม ให้สร้างอำนาจส่วนบังคับให้สูงขึ้นเป็นลำดับ
ได้แก่กำหนดจุดเป้าหมายให้มีบริกรรมภาวนาเพื่อความเข้มแข็ง เพื่อต่อต้านกับจิตซึ่งจะออกไปต่อกับอารมณ์สัญญาภายนอก
พยายามที่สุดคุมจิตให้อยู่ สติเป็นตัวพาหนะของจิตนี้ พาจิตให้ไปต่ออารมณ์สัญญานี้
ตัวนี้แหละเป็นตัวพี่เลี้ยง ตัวนี้เป็นตัวพาหนะใหญ่ก็คุมให้ดีเสีย พอคุมสติได้ดีจิตก็ไปไหนหละ
ถ้าสติไม่พาไปวิ่งได้หรือ เพราะตัวนี้เป็นตัวพาหนะก็คุม คุมไปคุมมา ดูไปดูมา
จิตก็ไม่ได้วิ่งไปต่ออารมณ์สัญญาได้แล้ว อำนาจส่วนบังคับก็สูงขึ้น ๆ เสร็จแล้วก็ออกไปบำเพ็ญข้างนอก
เพราะออกไปบำเพ็ญข้างนอกเท่านั้นเอง ท่านก็พยายามบังคับ ให้จิตยอมจำนนต่อการบังคับ
มันย่อมเสียจริงด้วย เพราะมันย่อมเสร็จแล้วธรรมะมันได้อยู่ในกระดาษเสียแล้วตอนนี้
ธรรมะมันอยู่ที่การประสพเหตุการณ์เสียแล้ว มันอยู่ที่ตัวของเราเสียแล้ว
มันอยู่ที่สิ่งที่มองเห็นด้วยตา สิ่งที่ฟังด้วยหูเสียแล้วเป็นธรรมะเสียแล้ว
เอาซี่ว่าเข้าไปซี่ วันนี้เขาชมเราสักเดียวเขาติเรา สักเดียวมีทุกข์ สักเดียวมีสุข
สารพัดสุดแท้แต่มันจะเกิด มันจะธรรมะทั้งนั้นทั้งดีและชั่ว ก็มานั่งอ่านคัมภีร์ก็คือเหตุการณ์นี้
อ่านของจริงนี้ อ่านไปอ่านมาก็ดึงเอาสิ่งต่าง ๆ เข้ามาให้จิตยอมรับ เขารับเสียแล้วตอนนี้เริ่มรับแล้ว
เห็นคนตายบอกว่านี้คนตาย น้อมเข้ามาที่ตัวของเราตัวของเราคือตัวของเราต้องตาย
ไอ้ความชัดเจนสูงขึ้น ๆ จิตก็ยอมรับ หนักเข้า ๆ ผลที่สุดก็สามารถรับความเป็นอนิจจัง
ยอมรับก็ไม่ใช่อย่างนี้ แต่ก่อนเราเล็กกว่านี้ จนกระทั่งมาถึงบัดนี้มันแก่แล้ว
มองการเคลื่อนไหวมาอย่างละเอียดละออแล้วว่า เขาจะเคลื่อนไปสู่ความตาย จิตก็ยอมรับว่าสภาพเป็นอย่างนั้น
มองเห็นความไม่เที่ยงในโลกกี่อย่างมันชัดเจนไปหมด จิตก็เลยว้าวุ่นขึ้นมาเพราะอะไร
เพราะสิ่งที่มันหลงมันเกิดไม่ปลงเสียแล้ว สิ่งที่มันรักมันเกิดไม่รักเสียแล้ว
มันชักเริ่มเสียแล้ว ต่อไปก็เห็นความเป็นทุกข์ทั้งเขาทั้งเรา ยิ่งหนักเข้าไปอีกเป็นตัวอนัตตา
ชัดเจนขึ้นมาว่าอนิจจัง ทุกขังอนัตตา สภาพของความเป็นจริงของโลกที่ถูกต้องมีอยู่อย่างนั้น
นั้นคือตัวธรรมะ พอจิตเริ่มยอมรับเท่านั้นเอง ความเปลี่ยนแปลงของจิตไปไกลลิบลิ่ว
สิ่งที่เคยรักไม่รัก ที่เคยหลงไม่หลง สิ่งที่เคยอยากได้ทะเยอทะยานมันหมดไป
พร้อมทั้งยศฐาบรรดาศักดิ์ ความอยากจะมีเกียรติประวัติชื่อเสียง ความอยากเก่ง
อยากเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า อยากจะสอนผู้อื่นมันหยุดเสีย ก็มานั่งหัวเราะผู้ดิ้นรนอยากจะเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า
อยากจะดิ้นรนหาทุกสิ่งทุกอย่างมาเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า อย่างที่เราได้ยินได้เห็นนี้แหละ
เพื่อจะสอนเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้เป็นประสีประสาอะไรเลย
ยังไม่มีอะไรในตัวเลย ยังจะลุกสอนผู้อื่นเสียด้วย ความตั้งใจไว้ไม่ใช่อัตตะสัมมานิทิ
ไม่ใช่ว่าตั้งใจไว้ชอบ กลายเป็นตั้งใจไว้ผิดเสียแล้ว ผลที่สุดก็มัวมุ่งแต่จะสอนผู้อื่นดูธรรมะก็เพื่อจะไปสอนเขา
ลืมการปฏิบัติที่จะเอาตัวเองพ้นจากทุกข์ มันก็เลยไปเสียแล้ว เขาก็มองเห็นชัดทุกที
นั่งหัวเราะตนเองเสียแม้เรามันบ้าเต็มแก่ ก็มองเห็นคนอื่นมันชักจะเอาเสียแล้ว
เอาเสียแล้วผลที่สุดได้เวลากลับมาก็กราบหลวงปู่อย่างนิ่มนวล กิเลสตัณหามันไม่มีแล้ว
ไอ้ความทนงตนมันไม่มีแล้ว ยอมรับ โอ..ผมพึงเข้าใจความจริงมันต้องเป็นอย่างนี้
ถ้าผมไม่ได้ครูบาอาจารย์เสร็จลูกเดียวผม ตายอยู่ตำราแน่ไม่ได้ไปไหนแล้ว
จนกระทั่งท่านอาจารย์มหาบังเข้ามา เลิกนะปิดตำรานะ ท่านก็สอนเองเสียด้วย
เอาไปเอามาอาจารย์มหาบังก็อย่างว่าแหละงมง่ำอยู่อย่างเดิม บอกว่าไม่ต้องงมนะ
ผมเป็นมาแล้วนะชี้แจงอย่างนี้ ด้วยมหาต่อมหาถ้าเป็นกรรมฐานสอนมหาคงยากหน่อย
มหาต่อมหาเอากันก็ต้องยอมรับ เอาไปเอามาท่านก็ได้ดีมีชื่อเสียงอยู่ทุกวันนี้
เพราะนั้นถึงว่าการปฏิบัติดี ต้องดำเนินตามปฏิปทาของครูบาอาจารย์ ดำเนินเถอะ
ๆ ขอให้มันได้อะไรสักอย่าง อันอื่นมันตามไป ขอให้มันยอมสักอย่าง จิตมันยอมรับต่อสภาพของความเป็นจริงคือตัวธรรมะ
ธรรมะไม่ได้อยู่ที่ใบลานแล้ว ธรรมะไม่ได้อยู่ในคัมภีร์ ไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฏก
พอเข้าไปถึงกันจริง ๆ นะ ธรรมะคือของจริงที่มองเห็นด้วยตา ที่ได้ยินด้วยหู
เราพยายามที่พิจารณาธรรมะ ให้เข้าไปเป็นธรรมะ ส่วนที่ให้เป็นธรรมนอกจากพิจารณาถึงสภาพไม่เที่ยงของจิต
สภาพของความเป็นทุกข์อนัตตา ประสบการณ์อันใดทั้งปวงที่ได้เห็นนั้นย่อมเข้ามา
โอปนยิกธรรมเข้ามา ที่จิตของเราให้ยอมรับในสภาพอันนี้ พอมันรับเท่านั้นมันเอียงลงไปเท่านั้น
โอ้มองสภาพความจริงในโลกแล้วมันมีแต่ความเศร้าสลดต่อความเป็นจริง มีแต่ความเศร้าสลดแต่ความต้องการของมนุษย์ทั้งหลาย
ดิ้นรนไปเพื่ออะไร ดิ้นรนไปเพราะตัวเองมันหลง ดิ้นไปเพราะความหลงเท่านั้น
ยิ่งมองเห็นเท่าไรยิ่งน่าหัวเราะหนักเข้าว่าอย่างนั้นก็แล้วกัน บรรดาพวกรู้ทั้งหลายมองเห็นพวกเราเหมือนเด็กกำลังนอนแบเบาะ
กำลังหลับ สิ่งที่ไม่ควรเล่น อยากจะจับ สิ่งที่ไม่ควรจับซึ่งจะเป็นอันตรายต่ออวัยวะ
มองแล้วก็น่าหัวเราะ สำหรับผู้เข้าใจธรรมะเป็นอย่างนั้น เพราะนั้นธรรมมะนะ
มันไม่ได้อยู่ในตำรา ไม่จำเป็นไม่ต้องไปเปิดไปไล่มันหรอก ของจริงมันคืออะไรเท่านั้น
เราดูไปเถอะมันจะต้องเห็น มันก็เห็นอยู่แต่จิตของเราไม่ยอมรับ เราหาอุบายวิธีให้จิตของเรายอมรับ
คือสร้างอำนาจส่วนบังคับมาให้พอให้จิตยอมจำนนเสียทีมันจะได้รับ ในเมื่อมันรับรู้เองว่ามันเป็นอย่างไร
เพราะยอมรับสภาพความเป็นจริงเท่านั้นเอง มองเห็นด้วยความเป็นอยู่ในโลกนี้หมดท่า
หมดท่าเลย เวลานี้เรายังหลง ความหลงมันนึกว่าโลกมันน่าอาศัยก็อยากอยู่
ก็เพลิดเพลินไปตามเรื่อง หัวเราะกันไปร้องให้กันไปเหมือนแสดงละคร มันยังหลงว่าโลกมันดี
ก็สู้กันไป ในเมื่อมาเห็นสภาพของความเป็นจริงในโลกแล้ว พุทโธรอวันตาย เกิดมาแล้วก็ตาม
เกิดมาแล้วก็ตาย ถ้าเราสามารถจับเข้าไปถึงจิตของเราแล้วมันจะเกิด บุปเพนิวาสานุสติวิชาขึ้นมา
มองเห็นความเป็นอยู่เบื้องหลัง จิตของเราไม่เคยตายเลย ไม่เคยตายก่อนภพมาเรื่อยมาเป็นลำดับ
จนสามารถมองไปเห็นปฏิสนธิจิตเบื้องต้น เราจะเห็นเลยว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรที่จริง
เพราะมันเกิดขึ้นมามันเป็นอย่างไร มันก่อจากไหนมาจากไหน ตั้งแต่สัตว์ตัวเล็กตั้งแต่หนอนโน้น
ค่อย ๆ เติบโตขึ้นมาความสูงขึ้น ๆ จนกระทั่งมาเป็นสัตว์ที่ใกล้มนุษย์ เห็นความเป็นจริงของมนุษย์มีความสุข
อยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อนและไม่เบียดเบียนผู้อื่น เขาจะมีความอาฆาตหรือความกลัวก็ไม่ทราบ
จะเกิดปรารถนาในใจ ต่อมาเกิดเป็นมนุษย์ก็โง่ ๆ เง่า ๆ เชอะ ๆ ชะ ๆ ต่อในเมื่อเขาต่อเติมความดีเกิดมาครั้งที่สองก็ค่อยดีขึ้นหน่อย
ครั้งที่สามที่สี่ที่ห้าค่อยดีขึ้นมา นาน ๆ เข้าพบปะพุทธศาสนาก็ได้ฟังธรรมะ
ก็มีอุปนิสัยสูงอย่างพวกเรา เรียกว่าเกิดมาหลายชาติเต็มทน ได้รับการศึกษามามาก
ได้ปฏิบัติจากศาสนาของพระพุทธเจ้าหลายพระองค์มาแล้ว จึงได้มาเป็นกันอย่างนี้
ถ้าไม่อย่างนั้นมันเป็นไปไม่ได้ เออมันเป็นไม่ได้ อยากจะเป็นก็เป็นไม่ได้
ต้องมีสิ่งอะไรเบื้องหลังที่สร้างไว้กระตุ้นความรู้สึกประสาทสองจึงเป็นอย่างนี้
อันนี้ก็ขึ้นมาเพราะนั้นสรุปแล้ว ก็หมายความว่า ถ้าเราสามารถมองเบื้องหลังของเราได้เท่าไร
ยิ่งน่ากลัง ความอยู่ในโลก อันนี้น่ากลัวมาก อันนี้เข้าสู่กันฟังนะ น่ากลัวอยู่เพราะนั้นให้พวกเรามองเถอะมองจิตของเรา
ดูจิตของเราอย่าไปสนใจอื่น ๆ แล้วเราก็เห็นเอง พอเห็นเบื้องหลังแล้วโอ้โห..น่าดู
เพราะนั้นในการเทศน์ของท่านเจ้าคุณศรี ท่านยกบาลีขึ้นมาตามหลักฐาน อาจารย์ปฏิเสธอะไร
ปฏิเสธบอกว่าจิตนี้มีประภัสสร จิตดวงเดิมเป็นจิตประภัสสร เป็นจิตสะอาดหมดจด
แต่อาศัยอาคันตุกะกิเลส คือ กิเลสมันจรเข้ามา เบื้องต้นเขาสะอาดก็บอกว่าอันนี้เป็นความผิด
เป็นคำพูดที่ผิด บาลีก็เป็นบาลีใครเขียนขึ้นมาก็ไม่ทราบไม่ถูกต้อง เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิจิตมาเลย
จิตสกปรกมาเลย จิตนี้สกปรกมาตั้งแต่เบื้องต้น ดีไม่ดีเกิดมาเป็นหนอนเสียซ้ำไป
แม้แต่สิ่งที่อยู่อาศัยก็สกปรก จิตมันก็สกปรก ถ้ามันสะอาดหมดจดมันไม่เกิด
มันเกิดเพราะมันสกปรก อันนี้มันถึงชาติกับความเกิด ถ้ามันประภัสสรสะอาดหมดจดไม่ต้องเกิดไปนิพพานเลย
ไปนิพพานไม่ได้เพราะความสกปรก ตั้งแต่ปฏิสนธิจิตเบื้องต้นเลย มีความอยากขึ้นมา
จนกระทั่งเป็นสัตว์เดรัจฉานไล่เลื้อยมาเป็นลำดับเล็กขึ้นมาเลย ค่อย ๆ สูงขึ้น
ๆ เนื่องจากสัตว์ตัวใหญ่เบียดเบียนสัตว์ตัวเล็ก ก็พยายามหลบพยายามหลีกก็นึกอยากจะเป็นใหญ่
ไอ้ความปรารถนาอันนั้นก็สมปรารถนา ตายไปก็เกิดใหญ่ขึ้นมา ในเมื่อใหญ่ขึ้นมาก็มีการเบียดเบียนกันอยู่
ก็อยากจะใหญ่ขึ้นมาให้พ้นจากการเบียดเบียน มันก็ใหญ่ขึ้นมาเรื่อย ๆ มาจนกระทั่งมาถึงสัตว์ใหญ่และสัตว์ที่ใกล้ชิดมนุษย์
ได้เห็นความเป็นอยู่ของมนุษย์ แล้วก็ปรารถนาอยากเป็นมนุษย์ ตั้งแต่เริ่มต้นมันมามันสกปรกมันจะสะอาดได้อย่างไร
เราต้องมาชำระมันสะอาดเอง อันนี้เป็นหลักที่ถูกต้อง อันนั้นถึงแม้จะมีบาลีอ้างก็ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า
อาจจะเป็นเอจิอาจารย์เอาขึ้น ด้วยความเห็นทิฐิตมานะตนเองไม่หมด มันจึงได้วิ่งจากความเป็นจริง
จิตมันสะอาได้หรือ มันไม่สะอาดตั้งแต่เบื้องต้นมามันจะมาสะอาดในเมื่อเราปฏิบัติมานำกายชำระกิเลส
ไม่ใช่กิเลสจรมา กิเลสมันบวกกันมาตั้งแต่เบื้องต้น ตั้งแต่มีปฏิสนธิจิต
ตั้งแต่เกิดขึ้นมามันอยากเกิดมันถึงได้เกิด มันเกิดขึ้นมาแล้วก็เป็นกิเลส
ความอยากเป็นตัวนำพามันก็อยากเรื่อยมา ๆ อยากพ้นจากสัตว์เล็กก็มาเป็นสัตว์ใหญ่
จากพ้นจากสัตว์ใหญ่มาเป็นสัตว์ที่มีอำนาจ อยากพ้นจากสัตว์ที่มีอำนาจมาเป็นมนุษย์
อยากเป็นมนุษย์ที่สวยสดงดงม อยากเป็นมนุษย์ที่มีความสมบูรณ์พูนสุขด้วยสมบัติทั้งปวง
อยากเป็นเทพเจ้าจักรพรรดิ์ ก็มีแต่อยากกับอยาก ตัวอยากนี้เป็นตัวนำกา อันนี้มันเป็นตัวกิเลสเป็นตัวตัณหาใหญ่
อยาก ไอ้ความอยากเป็นตัวนำพาไปสู่ความวุ่นวายสารพัด กิเลสมันก็จะมามั่วกันอยู่มันเป็นอย่างนั้น
เพราะนี้จึงว่าจิตของเรามันสกปรกตั้งแต่ปฏิสนธิเบื้องต้นของจิตเลย
เพราะนั้นจึงได้คล้ายท่านเจ้าคุณศรี พูดถึงได้บอกว่าคำนี้มันไม่จริง จึงไม่ควรเอามาพูด
พูดได้หรอกกับผู้อื่น พูดกับผู้ปฏิบัติไม่ได้ เพราะผู้ปฏิบัติเขาตามรู้จิตของเขา
จิตเขาไม่เคยสะอาด จิตเขานะตั้งแต่เริ่มต้นปฏิสนธิมาเลยสกปรก เพราะมีความอยากเป็นอาจิณมาเลย
มีกิเลสห่อมาเลย ไม่เคยสะอาดสักทีหนึ่ง เพราะนั้นเราถึงมาชำระให้มันสะอาดเอง
อันนี้เล่าสู่กันฟังอย่างนั้น ยกรูปเปรียบถึงเพชรถึงพลอยให้ท่านฟัง เพราะนั้นพวกเราขอให้จำคำนี้เอาไว้ว่า
จิตของเราไม่เคยสะอาดมาก่อน สกปรก เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราบำเพ็ญกันให้ดี
ตั้งอกตั้งใจให้ดีเหมือนท่านอาจารย์มหาปิ่นกับครูบาอาจารย์ที่ดำเนินมาตลอด
อาจารย์นี้ก็เหมือนกัน ถูกเอกเสียน่าดู เราก็ศึกษามาพอสมควรเหมือนกันรุ่งรังเหมือนกัน
รั้ง ๆ รุง ๆ พอสมควร ผลที่สุดดำเนินไปดำเนินมาอ้าวจริงเสียแล้ว จริงเสียแล้วไม่จำเป็นอะไรต้องไปเรียนอะไรให้มากเสียเลย
ในเมื่อปฏิบัติแล้วมีแค่นี้ ทำให้จิตมันยอมรับ พอจิตมันยอมรับเอาซิว่าอย่างไร
อย่างท่านอาจารย์มหาที่มาว่าเห็นไหม การศึกษารู้ ก็หมายความว่ามีคุณธรรมเป็นผู้มีความคม
ถ้าปฏิบัติได้ก็ถือว่าแหลม ถ้าผู้ที่ปฏิบัติได้ทั้งแหลมทั้งคม อันนี้เป็นคำพูดที่ผิดถนัด
พระพุทธเจ้าศึกษามาจากใคร พระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญพุทธะ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ว่างศาสนา
พระองค์บำเพ็ญอย่างเดียวทั้งแหลมทั้งคมพร้อม มีแค่นั้นเอง เพราะนั้นเราปฏิบัติซะ
ความแหลม ความคมมันอยู่ที่นั่น เราจะเข้าใจทันที ในความจริงอันนี้ ฉะนั้นขอให้พวกเราตั้งใจปฏิบัติ
อันนี้เล่าสู่กันฟัง ฉะนั้นก็ขอให้เลิกกันไปประพฤติปฏิบัติกันจริง ๆ ก็แล้วกัน
เล่าสู่ฟังก็ยุติเพียงแค่นี้แหละ
ณ
วัดเขาสุกิมวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๒๗