ชีวประวัติ พระวิสุทธิญาณเถร (หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย) |
รับนิมนต์กลับประเทศลาว (30) |
ในระหว่างที่กำลังสนุกเพลิดเพลินอยู่กับการบำเพ็ญ
ภาวนาในแถบจังหวัดนครราชสีมานั้น ก็มีเหตุจำเป็นที่จะต้องเดินทางกลับไปยังประเทศลาวอีกครั้งหนึ่ง
กล่าวคือภายหลังจากได้ ข้ามออกมากจากประเทศลาวแล้ว ประเทศลาวก็ได้เปลี่ยน
แปลงระบบการปกครองจากประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์อย่างเต็มตัว
สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกทำลายล้าง สถาบันศาสนา กำลังถูกย่ำยี พระสงฆ์ดีๆ
ที่มีความเคร่งครัดทางเรี่องสิกขาวินัย ถูกต่อต้านขับไล่ให้ออกจากประเทศ
บางองค์ก็ถูกนำไปสัมมนา ชนิดไม่ต้องกลับมาเหยียบแผ่นดินอีกต่อไปก็มี พระที่เลวๆ
ย่อ หย่อนต่อพระธรรมวินัยถูกยกย่องสรรเสริญว่าเป็นพระดี ทั้งนี้ ก็เพื่อเขาต้องการให้ชาวบ้านเบื่อหน่ายต่อการประพฤติปฏิบัติ
ของพระสงฆ์หรือเพื่อทำลายล้างสถาบันศาสนาทางอ้อมนั่นเอง
คณะผู้บริหารบ้านเมืองของประเทศไทยและประเทศลาว จึงได้กราบอาราธนานิมนต์ให้หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย พร้อมด้วยคณะพระสงฆ์ซึ่งเป็นบริวารของท่าน เดินทางกลับไปประเทศลาวอีก เพี่ออบรมสั่งสอนประชาชน และเพื่อช่วย ปรับปรุงระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ในประเทศลาวให้ดีขึ้น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย จึงได้รับนิมนต์ แล้วก็ได้เดินทางกลับไปประเทศลาวอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปลาย ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เมื่อ ข้ามไปถึงแล้วก็ได้ปรับปรุงระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ในประเทศลาวหลายอย่าง ให้พระภิกษุสามเณรประพฤติปฏิบัติ เคร่งครัดเป็นตัวอย่างของชาวบ้าน และได้อบรมสั่งสอน ประชาชนชาวบ้านให้ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ ให้เป็นผู้ที่รักชาติ รักพระศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง ได้รับการสนับสนุนจากบุคคลชั้นผู้นำของประเทศ เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่วายเว้นที่จะต้องถูกพวกคลั่งลัทธิใหม่โจมตีต่างๆ นานา เพราะว่าท่านไปขัดขวางการดำเนินงานของพวกเขา บางครั้งเขามาจับตัวไปสัมมนาที่นครเวียงจันทน์ เท่าที่ ทราบนั้นถ้าพวกเขาได้รับพระองค์ไหนไปสัมมนาแล้วละก็ จะไม่ ได้เห็นพระองค์นั้นได้กลับมาอีกเลยแม้แต่องค์เดียว แต่สำหรับหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย นั้นพวกเขาถือว่าเป็นพระที่สำคัญมากองค์หนึ่ง เขาจึงไม่กล้าทำอะไรรุนแรงมากนัก เพียงแค่จับไป ขังไว้ในคุกขี้ไก่ แล้วก็ปล่อยตัวกลับมาอีก ครั้งแล้วครั้งเล่ารวมถึง ๖ ครั้งด้วยกัน เมื่อท่านกลับออกมา ท่านก็ได้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนประชาชนอย่างเดิมอีกเป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ จึงเป็นการไปขัดขวางการเผยแพร่ลัทธิของพวกเขา
ครั้งที่ ๗ พวกคลั่งลัทธิเหล่านั้นได้พากันมาจับเอาตัวท่านไปอีก
ครั้งนี้ทราบว่าเขาต้องการนำไปสัมมนาชนิดที่ไม่ต้องกลับมาอีกต่อไป ในครั้งนี้ทราบว่ามีพระองค์
สำคัญ ๆ ในนครเวียงจันทน์ถูกจับมาด้วยอีก ๓ องค์ เขาได้นำพานั่งเรือล่องไปตามลำน้ำโขง
และก็ไม่ทราบว่าเขาจะพาไปยังแห่งหนตำบลใด แต่เท่าที่ทราบว่าพวกเขาได้จับ
เอาพระองค์สำคัญๆ ไปสัมมนาแบบเดียวกันนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เห็นพระที่ไปด้วยนั้นได้กลับมาแม้แต่องค์เดียว
ในครั้งนี้ก็คงจะเช่นกัน ทุกองค์ทราบดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับตัวท่านเองต่างองค์ต่างก็ร้องขอชีวิต
ร้องขอความเมตตาจากพวกคลั่งลัทธิทั้งหลายเหล่านั้น ตลอดระยะทางที่เรือล่องไปตามลำน้ำ
โขงนั้น |
แต่สำหรับหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย นั้นท่านไม่เคย สนใจเลยว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นกับตัวท่านเอง
ท่านนั่งสงบนิ่ง เงียบ กำหนดทำสมาธิภาวนาของท่านไปตลอดทาง โดยไม่ร้องขอชีวิตจากใครทั้งสิ้น
ไม่สะทกสะท้านต่อเหตุการณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับท่าน
เรือเพชรฆาตล่องไปตามลำน้ำโขงกะว่าไปไกลพอสมควร เมื่อถึงสถานที่สงัดปลอดภัยจากสายตาของผู้คนที่จะพบเห็นแล้ว
นาทีหฤโหดก็ได้ เกิดขึ้นในบัดนั้น ปากกระบอกปืนได้ถูกหันยังเป้าหมายคือ
พระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ ที่นั่งร้องขอชีวิตอยู่นั่น ทีละองค์ๆ ๆ เป็นภาพที่น่าสลดสังเวชเป็นอย่างยิ่ง
สามองค์ผ่านไปอย่างเรียบร้อย ปากกระบอกปืนได้หันมายังองค์ที่สี่ซึ่งเป็นองค์สุดท้าย
"จะด้วยเดชเดชะบารมีหรือเหตุบังเอิญก็ไม่ทราบได้ เพชรฆาตที่กำลังยกปืนจ้องอยู่นั้นถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงนั่ง
แล้วค่อย ๆ คลานเข้ามากราบที่เท้าและกล่าวคำขอขมาลาโทษ" แทนที่เพชรฆาตนั้นจะนำท่านไปทางฝั่งลาว แต่กลับ นำท่านมาส่งขึ้นทางฝั่งไทย และขอร้องไม่ให้ท่านข้ามกลับไปอีก เพราะเขาเกรงว่าหัวหน้าใหญ่เขาทราบเข้า ตัวเขาจะต้องมีความผิดด้วย เมื่อมาถึงฝั่งไทยแล้ว ท่านก็ได้เดินทางไปพักอยู่ที่ วัดศรีเมือง จังหวัดหนองคาย ต่อจากนั้นจึงได้สั่งให้ญาติโยมอีกคณะหนึ่ง ข้ามไปรับพระเณรคณะของท่านที่ยังตกค้างอยู่ที่ฝั่งลาวกลับมาทั้งหมด คณะพระเณรทุกองค์ทั้งหมดได้พักอยู่ที่วัดศรีเมือง ไม่นานนัก ก็ได้ย้ายไปพักบำเพ็ญที่ วัดอรุณรังษี ได้พักอยู่ประมาณ ๘ เดือน หลวงปู่ได้นำพาบำเพ็ญภาวนาด้วย และได้นำพาพัฒนาวัดไปด้วย ได้ช่วยกันสร้างรั้วเพื่อกั้นเขตวัด ทำเป็นเสาคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดีพร้อมล้อมลวดหนามรอบบริเวณวัด และได้ก่อสร้างเสนาสนะอื่นๆ อีกหลายอย่าง อยู่ที่นี่จนถึง ปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ท่านจึงได้พาออกจาก วัดอรุณรังษี และได้ลงมาทางจังหวัดนครราชตมา ได้เวียนไปเวียนมาอยู่หลายแห่ง อยู่ที่วัดป่าสาลวัน บ้าง มาอยู่ที่วัดป่า ศรัทธารวมบ้าง ต่อมาก็ได้ย้ายลงมาทางอำเภอปากช่อง ลงไป ถึงอำเภอแก่งคอย และได้ไปพักอยู่ที่ บ้านพระบาทน้อยระยะหนึ่ง
|
|
กระดานข่าว |
อ่านสมุดเยี่ยม |
เชื่อมโยงกัลยานิมิตร
>> |
วัดเขาสุกิม สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2543 |
พัฒนาและออกแบบโดย
นายทวีศักดิ์ รัตนคม ติดต่อสอบถามได้ที่ webmaster@khaosukim.org และทาง msn ได้ที่ hs2wjo@hotmail.com |