พระธรรมเทศนา จิต ใต้สำนึก

จิต ใต้สำนึก


การทำสมาธิจิตโดยส่วนมากสอนกันเป็นไปในทางสงบฐานมากที่สุด แต่สำหรับสงบผลซึ่งไปในทางลัดบ้าง ตรงเข้าไปทำย่นทางเข้ามาที่สุด อย่างที่พวกเราสอนกันรู้สึกว่าน้อยนักน้อยหนา ครูบาอาจารย์ที่จะสอนพวกเรา แล้วพวกเราก็จะหาฟังได้ยากไม่ใช่เล่นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น อาตมาถึงว่าสำหรับธรรมะที่พวกเราน่าจะสนใจให้มากและศึกษาให้เข้าใจก็คือ ปฏิปทาที่พวกเราจะดำเนินมุ่งเข้าไปสำคัญมากกว่าอื่นใดทั้งหมด

สำหรับพิธีภายนอกก็ไม่จำเป็นอะไรมาก อันนี้แหละสำคัญที่สุดเลย และต่อ ๆ ไปพวกเราต้องแลกเปลี่ยนความเข้าใจในเรื่องธรรมะปฏิบัตินี่ ซึ่งกันและกันเสมอ ต้องสังสรรค์กันบ่อย ๆ อย่าไปมัวพูดทางอื่นให้เสียเวลาเปล่า ดีที่สุด

บางครั้งจิตตกเป็นเพราะอะไรเจ้าค่ะ” คุณรัตนาถาม
สงบฐานยิ่งตกเก่ง สงบฐานนี่ตัวตกเก่ง กำหนดไม่ถึงฐาน เดี๋ยวก็เสียใจ พอเสียใจทีเดียวก็พังทะลาย น้อมไม่ลง กดไม่เข้าเลยทีนี้หมด รู้สึกว่าตกเก่งสงบฐาน สงบผลนี่ คือว่า มันตกเฉพาะที่เรากำหนดจิตให้เราน้อมเข้าไป ไม่ไป แต่สำหรับคุณธรรมที่มีเชื้อเหลือมันยังมีอยู่ คือว่า คุณธรรมอันที่เราต่อสู้กับกิเลสได้เป็นบางอย่างคือความรู้สึกของจิตนี่ ที่นำพาเราไปในทางเสียหายหมายความว่าเมื่อความรู้สึกอย่างนี้มันเกิดขึ้นเบื้องต้นก็เศร้าหมองแล้วเป็นทุกข์ภายในใจ เขาเรียกว่า เจตสิกทุกข์

ทีนี้มันจะมาเข็นเอาอาการสิ่งที่อยู่ใต้อำนาจของมันให้เป็นไปตามความรู้สึกของมันนี้อีก ทีนี้มันยิ่งเกิดขึ้นซึ่งกรรมเวรหรือเป็นโทษใหญ่ หรือว่าประกอบด้วยทุกข์อันใหญ่ หมายความว่าคู่กับความรู้สึกอย่างนี้เรียกว่า กิเลส หมายความว่าอย่างนี้ ทีนี้ความรู้สึกเราเคยได้ชัยชนะมาแล้ว ทีนี้คำพูดที่เราพูดไปโดยธรรมชาติธรรมดาโดยไม่มีกำลังตปธรรมเข้ามากลั่นกรองนี่ เราพูดหล่นไปแบบนี้ เราเคยเอาชัยชนะได้อยู่แล้ว ในทำนองนี้ล่ะนะ

ตลอดจนทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเอาชัยชนะได้อย่าง ถึงแม้ว่าจิตมันตก สมมติว่าตกผลนี่น่า ถึงแม้ว่าตกสักแค่ไหนก็ตาม ก็ยังมีคุณเป็นเชื้อเหลือให้เห็นอยู่ เรายังไม่กล้าจะปล่อยอะไรออกมาโผงให้เต็มปาก ถึงแม้ว่าจะโผงออกไปมันเล็ดลอดได้เสียใจอยู่นั่นแหละ เสียใจไม่พอเลย แต่สำหรับผู้สงบฐานไม่ใช่อย่างนั้นไปมันไปทั้งขบวนเลยไม่มีอะไรเหลือ อันนั้นไปทั้งขบวนไม่มีอะไรเหลือ ลอยคอล็อคแล็ก ๆ เลยมันเป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นถึงว่าสงบผลนี่มันดำเนินสมาธิจิตแบบหนักไปในทางสงบผลนี่ ถึงแม้จะตก ถึงแม้จะตกสักแค่ไหนก็ตามจะให้เป็นไปแบบคนธรรมดาที่ไม่เคยภาวนาเลย เป็นไปไม่ได้ อย่างตกหายไม่มีเชื้อเหลือเลยนั่นสงบฐาน ถ้าตกหายแล้วไม่อะไรเป็นเครื่องหมายอยู่เลย แล้วก็ตกเก่งด้วย ตกแล้วไม่มีอะไรเป็นเชื้อเหลือเลย คือ สงบฐาน ที่นี้สงบผลนี่ตกเหมือนกัน แต่ว่าเมื่อตกลงมาแล้ว ผลของมันยังเหลือหมายความว่าสมมติว่าตก สงบผล นี่ตกผั๊วะลงมาอย่างนี้ ยังมีสิ่งดี ๆ ปรากฏเป็นเครื่องประดับอยู่ไม่ใช่ว่าเหลือแต่กำหนดจิตไม่เข้าก็ตามน้อมจิตไม่ลงก็ตาม

แต่สำหรับคุณของธรรมที่ปฏิบัติได้ยังคุ้มครองรักษาเราอยู่ เช่น เราพูดในทางที่ไม่ดี หรือเราเนื่องจากรักษาไว้อย่างนั้นจะรักษาไว้ไม่ได้ เพราะอำนาจของสติมันต่ำไปอะไรทำนองนี้ ความรู้สึกมันสามารถเห็นอาการไม่ให้กระโดดข้ามกำลังของสติไปได้ อะไรทำนองนี้ เรายังรู้สึกเสียใจแต่ทีนี้บางสิ่งนี่เรายังสามารถรักษาไว้ได้อยู่ เช่น เราพลาดออกไป เสียใจ บางสิ่งบางอย่างเราบังคับไว้ได้ ส่วนผลของมันนี้นะอย่างนี้ นี่หมายถึงสงบผล แต่สำหรับสงบฐานนี่ไม่มีอะไรเป็นเชื้อเหลือ

สมมติเขาเข้าใจอยู่กดกิเลสไม่หลุด เมื่อถอนตกออกมาผลของสมาธิที่จิตเข้าไปเกาะมั่นนะมันไม่มีสิ่งที่จะเกาะมั่นได้แล้ว เพราะเข้าไม่ถึง ก็เป็นอันว่าลอยคว้างเลยทีนี้ลอยคว้างเลย ผลสุดท้ายใจคอหงุดหงิดวุ่นวาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สงบฐานตำมักจะเป็นบ้า พูดกันง่าย ๆ นา เพราะเราไม่มีอะไรเป็นเครื่องอยู่เกิดเสียใจใหญ่ ทีนี้ส่วนกำลังของสติที่จะเข้าคุ้มครองจิตก็ไม่พอกันอยู่แล้ว ผลสุดท้ายก็มักจะเป็นบ้า

เพราะฉะนั้น ถึงว่าสงบฐานนี่มีจุดที่เป็นบ้าอยู่หลายอย่าง ๑. ผู้ที่มุ่งหวังในการสงบฐานซึ่งบังคับจิตจม ดำ ลึกเข้าไปนี่ จะต้องเป็นการสะกดตัวเองมีประสาท อันนี้จะทำให้เป็นบ้าได้ง่ายที่สุด ๒ กำลังทั้งหมดไม่ได้มุ่งเพื่อต้องการจะเอามา รู้เท่าทันความรู้สึกของจิต จะเป็นผลสมาธิส่วนภายในก็ตาม หรือจะเป็นความรู้สึกเหนือความสำนึกแบบธรรมดาก็ตาม ตลอดอาการที่แสดงออกทั้งหมด เราไม่ได้มุ่งเอากำลังส่วนนี้มาแต่งอาการอย่างนี้

หมายความว่าอย่างนี้เลย เมื่อหากเป็นอย่างนั้น เขาสามารถบังคับด้วยกำลังสติให้จิตดิ่งจมตกเข้าไปสู่สงบฐานในทำนองนี้ เมื่อไปเจอผลส่วนภายใน ทีนี้โดยจุดประสงค์เขาก็จะไม่เอากำลังส่วนนี้ไปยับยั้งจิตของเขาอยู่ เป็นอันว่าผลของสมาธิที่ปรากฏเขากระโดดเข้ารับเต็มที่สมบูรณ์เลย เมื่อเป็นอย่างนี้ปีติมันจะพุ่ง เมื่อปีติพุ่งไม่รู้จักการข่มปีตินี่ก็เป็นบ้าอีกจุดหนึ่ง เป็นบ้าด้วยกำลังของปีติทีนี้

อันดับที่ ๓ เมื่อหาจิตเขาตก ตามธรรมดาเขามีเครื่องอยู่ บัดนี้ไม่มีเครื่องอยู่ก็เหมือน ๆ กับเรือที่ไม่มีหางเสือหรือไม่มีพายอะไรทำนองนี้ ก็เลยคว่ำไปตามเรื่องตามภาษา ผลสุดท้ายก็หงุดหงิดเศร้าหมอง โอย..ไม่รู้จักว่าจะอยู่อย่างไร เพราะแต่ก่อนมีเครื่องอยู่ มีวิหารธรรม บัดนี้ไม่มีอะไรเป็นเครื่องเกาะเครื่องอาศัย คว้าง ๆ ไม่นานเกาะพลาดก็มักจะเป็นบ้าอีก นี่มันก็มีอย่างนี้

เพราะฉะนั้นจึงว่าเรื่องสงบฐานนี่มักจะเป็นบ้าได้ง่าย แต่สำหรับสงบผลนี่โดยส่วนมากนะ ถ้าทำถูกต้องนะคนที่เป็นบ้าก็จะหายได้ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เราก็รู้เป็นกันอยู่ ไม่ต้องบอกก็รู้ เพราะความรุนแรงมันรุนแรงอยู่ พอดำเนินอย่างนี้สามารถบรรเทาให้หายลงไปได้ เราลองคิดดู เว้นแต่พวกเรานะ เว้นแต่พวกเราจะไม่มุ่งเอากำลังส่วนนี้เข้ามาแต่อาการของกาย แล้วมากลั่นกรองวาจาที่พูด พร้อมทั้งความรู้สึกของจิต ไม่ได้เอากำลังส่วนนี้มามุ่งแต่งและเอาชัยชนะความรู้สึกที่จะเป็นไปเพื่อความทุกข์อะไรเหล่านี้

 ถ้าเราไม่มีมุ่งอย่างนี้นะ เรามุ่งอิทธิฤทธิ์พอดำเนินเข้าไป พับพอมีสิ่งได้กระทบเกิดไม่รู้เท่า เอ้อ…มันเกิดรู้ขึ้นมาอีก ตามจับรู้ขึ้นมาอีก ตามจับรู้ขึ้นมาอีก ตามจับ พอตามจับไปไม่รู้เห็นก็นึกว่าเป็นของดี เกิดปีติรุ่งโรจน์ออกมา กดปีติไว้ไม่อยู่ เอ้อ..อย่างนั้นก็มีเหมือนกัน

เพราะฉะนั้นจึงว่าเมื่อผู้ใดมีจุดประสงค์คือความดำริว่าจะเอากำลังตปธรรมทั้งสอง คือ สติ ปัญญานี้เข้ามาแต่ง ดังที่อาตมาเล่าสู่ฟังหลายรอบมาแล้วนั้น ถ้าดำเนินอย่างนี้ ถ้ารู้เท่าทันเสมอ ๆ รับรองว่าบ้าไม่มีจะมีบ้าที่ตรงไหน เพราะมันรู้เท่าความรู้สึกของจิต รู้เท่าในผลของสมาธิที่ปรากฏขึ้นมาชะโลมให้ได้รับความสุข เมื่อหากรู้เท่าแล้วมันจะมีอะไร มันก็หมด บ้าไม่มี บอไม่มี บวมไม่มี หมด ก็เพียงแค่นั้น นี่อธิบายให้ฟัง เข้าใจหรือยัง หรือขัดข้องตรงไหนก็ถาม เข้าใจนะ ถามได้

อาตมาตกบางทีลอยคว้างเหมือนกันนะแหละ เอ๊…ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ว่าสงบผลนี่คือว่ามันมีส่วนเหลือย่างที่อาตมาว่านี่แหละ มันก็พออุ่นใจอยู่คล้าย ๆ กับว่าธรรมที่เราประพฤติได้นี่มันไม่ได้จากจากเราไปเลย ยังคุ้มครองความรู้สึกของเรา ทำให้โน้มเอียงเข้ามาได้ ทีนี้บางทีมันก็เบื้อขึ้นมาเป็นบางคราว ๆ ทีนี้มันก็ออกไป ทีนี้บังคับมันก็ตกเข้ามาได้ มันก็มีอยู่อย่างนี้ แต่ทีนี้ตกก็ดีเหมือนกัน แล้วทีหลังเราก็จะได้รู้ว่ามันตกเพราะอะไร แล้วเราก็จะได้รู้เท่าแล้วมันก็จะได้ตกยากอีก หรือว่ามันหากตกมาอีกเราก็จะไม่กลัวเพราะว่าเราเคยตกเคยขึ้น เราก็พยายามปีนขึ้นของเราอยู่นั่นแหละ ปีนขึ้นมันก็ขึ้นได้

แต่ทีนี้คนไม่เคยตก มันอกสั่นขวัญหาย ไม่รู้อย่างไรหนอ เห็นเมื่อเราตก กลัว ไม่รู้จะทำอย่างไร ขึ้นเกิดพลาดตกไปเสียจริง ๆ แล้วก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรก็มองกันล่ะทีนี้ เราจะทำอย่างไรหนอ ถ้าตกจริง ๆ น่ากลัวจะทำอย่างไรไม่รู้จะว่าอย่างไรถูกละหนอ จะเข้าไปอยู่ในกรุงในกองก็ไม่รู้ แต่แท้ที่จริงปากพูดไปเฉย ๆ หลอกใจเขายังไม่ว่าหรอกหนอ ปากก็พูดเล่น ๆ ไปอย่างนั้นแหละ ถ้าตกก็แหม..ไม่รู้จะทำอย่างไรเข้ากรุงเท่านั้นเอง ปากพูดแต่สำหรับใจไม่ได้ว่าหรอกหนอ

อาตมาเคยตกทั้งสองอย่าง คือว่าอย่างสงบฐานนี่อาตมาก็เคยตก แล้วก็สังเกตดูรสชาติในการสงบฐานนี่ รู้สึกว่าน่าบ้า สังเกตดูนะ แต่ทีนี้ต่อมาก็สงบผล มานึกถึงสงบผลนี่ตกลงมาแล้วมันก็ไม่น่าบ้า คือว่ามันมีส่วนเหลือให้เราเป็นนิมิตอยู่มันน่าอุ่นใจ คือว่าประสาทความรู้สึกของเรานี้จะว่าแรงไปเสียเลยก็เปล่า มันเสียเพราะเรารู้เท่าเป็นบางอย่างเท่านั้นเอง เสียเพราะเรารู้เท่าไม่ถึงการณ์เป็นอย่าง เช่น ความรู้สึกนี่ เรากลับเข้าใจว่าความรู้สึกอย่างที่เราไม่เข้าสมาธิ เราเหมาะในความรู้สึกเหนือสำนึกทั้งหมด ในทำนองนี้

ทีนี้บางทีจิตของเรามันนิ่มนวลเพราะว่ามันเป็นผลของสมาธิชั้นครึ่ง สำนึกอำนวยผลให้อะไรทำนองนี้ มันยังนิ่มนวลอะไรดีอยู่อย่างนี้ เมื่อหากความรู้สึกอันนี้มันแรงไปเสียอีกขาหนึ่ง แต่มันเป็นผลอยู่ แต่ถ้าเราไม่รู้เท่า ในเบื้องต้นมันเป็นไปด้วยความดีใจ เมื่อเราไม่รู้เท่า สิ่งที่เราปรารถนาไม่สมหวัง มันจะกลับเป็นโทสะอะไรในทำนองนี้

จะเป็นเหตุให้มีเสียใจขึ้นมาทีหลังแทรก แต่ว่ามันจะตกนิพิทธานั่นแหละ แต่ว่าเราจะประคองเข้าสู่จุดนิพิทธา เราประคองไม่เป็น วิธีส่งวิธีประคองเข้าเราไม่เก่ง ทีนี้เราก็ปล่อยให้เป็นไปตามกำลังของมันก็ส่ายหัวเลย พอมันไปตกกระแสมีความเบื่อเข้าแทรกพับ มันก็เศร้าหมองคล้าย ๆ กันกับว่ามันเตรียมตัวเข้าไปหาความเศร้าหมองทันทีเลย เพราะว่ากิเลสนำพา พอตกกระแส ความเศร้าหมองพับเอาละทีนี้มีทางว่าจะทำให้เรานี่เสียหวังแน่                

ผลสุดท้ายก็เสื่อมลงตกตูมลงมาได้
พอตกมานี้บังให้ขึ้นมันก็ไม่ขึ้นเสียด้วยนี่ มันเป็นอย่างนี้ นี่เป็นจุดหนึ่ง ทีนี้อย่างอื่นอีกก็ยังมีอยู่มาก สิ่งที่จะทำให้เรานี้ตก ถ้าเราเกิดไม่รู้เท่าไม่ว่าอะไรมันจะพลาดทั้งนั้นแหละ เช่น มันอาจจะทำให้ได้ยินเสียงอะไรไกล ๆ พอเข้าสมาธิใคร ๆ อยู่ที่ไหน ใครจามอยู่ เอ๊…ทำไมมันช่างได้ยินเหมือน ๆ ใครมาจามใส่หู นี่แหละมันจะล้อเรา ถึงขนาด เอ๊…ทำไมเราเป็นอย่างนี้อย่างอื่น เราจะไม่ได้ยินหรือ เอ๊…ใครหนอมานั่งคุยกันอยู่ตรงนี้

พอถอนสมาธิมามันก็ไม่ได้ยิน มองหามันก็ไม่เห็น พอเข้าสมาธิเรื่องนั้นแหละแต่ก็ได้ยินเข้าหู เอ๊…นีมันเสียงใคร ฟังไป ๆ ก็จำได้ เพราะเราได้ยินเสียงคนนั้น เอ๊…เขามานั่งคุยอยู่ตรงไหน หาไม่เจอะ แต่ไปเข้าสมาธิอีกได้ยินอีก ก็ได้ยินแต่เรื่องนั้น แต่ว่ามันไกลไปอีกแล้ว เอ๊…นี่มันอะไรนี่ ทีนี้หนักเข้าก็เลยเห็นว่าตัวเองนี้มีหูทิพย์เสียแล้ว ที่นี้ก็เอาหละทีนี้ ค่อย ๆ ดอด ๆ ฟัง เอ๊…คนนั้นพูดกันแฮะ เอ๊…คนนี้พูดกัน เอาละนะทีนี้เอาละนะ คือว่าปฏิปทาที่จะก้าวเข้าไปสู่ผลนี่ เราดำเนินมาอย่างไรแทนที่เราจะทรงไว้รักษาไว้อย่างแข็งแรง บัดนี้เราจะประกอบผลแล้วนะ ประกอบอย่างไรหละ คือว่าสอดส่องหาสิ่งที่เป็นไปนี้ให้ดีขึ้นนี่เขาเรียกว่าประกอบผลละทีนี้ จะประกอบให้ดู

ทีนี้พอได้ยินคนนั้นมาพูดมันเรื่องอะไรก็จ่อ จ่อเสร็จก็ลองมาแอบถามดูก็เป็นจริง หรือบางทีอาจจะขึ้น คล้าย ๆ กับว่า….นะ พูดเฉียดไปข้าง ๆ หน่อย ในทำนองนี้ เออ…อย่างนั้นอย่างนี้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วแต่เราจะพูดแคะให้เขารู้ เขาก็ตกตะลึง เอ๊..เอ๊ะนี่ถ้าจะเป็นจริงแฮะ มองเห็นหน้าผิดปกติ เอาใหม่ ทีนี้ไปนั่งตรงนู้น ตรงนี้พูดกัน อื้อ…รู้สึกว่าได้ยินเข้าหูก็ลองดู

ผลสุดท้ายยิ่งตามมันก็ยิ่งไปทีนี้ ยิ่งตามันก็ไกล ๆ ออก ๆ ๆ พอไกลออก ๆ ทีนี้การดำเนินที่เราดำเนินปฏิปทาที่เราดำเนินจนกระทั่งเข้ามาสู่ผลนี่เราดำเนินแบบหน เราทิ้งเลยนี่ เราทิ้ง…เรียกว่าคือการประกอบผลอยู่เสมอ ประกอบมามันเสื่อมไม่รู้ตัวอย่างนี้ เสื่อมลง ๆ ตำ

**ไม่อนุญาตให้นำไปเพื่อการค้าหรือจำหน่าย แต่สามารถพิมพ์แจกเป็นธรรมทานได้