ในครั้งสมัยที่อาตมาป่วย เป็นโรคมาเลเรียขึ้นสมอง
นี่ชัดที่สุดเลย ตอนนั้นรู้สึกว่าอาการเจ็บป่วยไปทั่วสารพางค์การเพราะข้าวไม่ได้ฉันมาแล้ว
๘ วัน และโดยส่วนมากเมื่อเวลาฉันน้ำลงไปก็มักจะอาเจียน อาการรู้สึกหนักมากขึ้นเจ็บปวดไปทั่วสารพางค์การ
เพราะไข้มาเลเรียขึ้นสมองนี้มันผิดปกติมาก อาตมายังมีสติดีควบคุมไม่ให้เพ้อไม่ให้พูดอะไรไปต่าง ๆ นานา บังคับให้เรามีความรู้สึกว่า เราป่วยมีอาการหนักมากอะไรเหล่านี้ พยายามรับรู้ตัวอยู่ตลอดทีนี้ต่อมาอาการที่มันรุนแรงถึงขนาดอัดเข้าไปในท้อง และหายใจไม่เข้าก็บอกว่าแน่ละ นี่พูดกันอย่างลัด ๆ ไม่ต้องอธิบายอะไรกันมาก พูดให้ฟังพอเข้าใจ พออีบทเราจะตาย หาย..ใจไม่ค่อยลงมันดังอึก ๆๆ หายใจมันดังอีกเลยท้องก็ยุบวูบในทำนองนี้ที่ ๆ มันจะตายน่ะก็รู้สึกว่า เอ…มันก็สบาย สบาย…โปร่ง…โล่งขึ้นมา เอ๊ะ…เอาละสบายดีแล้วก็เลยลุกขึ้นมา ลุกขึ้นมามองโน่นมองนี่ อือ..นึกถึงหมูที่ป่วย เขามาบอกว่าหมูป่วยอยากจะให้ไปเยี่ยม เอ..สบายดีแล้วไหนลองไปเยี่ยมดูสักหน่อยซิว่าเป็นอย่างไร เพราะอาตมานี่พูดถึงเรื่องการฝักใฝ่หรือเอาใจใส่ในพระเณรที่ป่วย รู้สึกว่าเอาใจใส่มากเป็นนิสัยอันหนึ่งของอาตมาทีนี้จะไปเยี่ยมเณรป่วย เพียงแค่นึก..แต่ว่าการก้าวเดินไปนี่ไม่มี เกิดไปมีความรู้สึกว่าเอาใจใส่มากเป็นนิสัยอันหนึ่งของอาตมาทีนี้จะไปเยี่ยมเณรป่วย เพียงแค่นึก..แต่ว่าการก้าวเดินไปนี่ไม่มี เกิดไปมีความรู้สึกตัวอยู่ที่กุฏิเณร มองเณรเห็นนอนตะแคงขวาหลับตามปกติธรรมดา จะจับก็กลัวเณรจะตื่น นี่เณรก็หลับปล่อยให้พักเถอะ คิดว่านะ…เลยเกิดนึกขึ้นมาได้อีกว่า นี้เรามาได้อย่างไร ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ว่าเดินมาทำไมจึงนึกไม่ได้ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ เกิดสงสัยนี่เป็นครั้งแรก เอ๊ะ..นี่มันยังไงกัน เดี๋ยวๆนึกเสียก่อน นึกว่าให้กลับ..เพียงแค่นี้ก็ออกไปยืนอยู่นอกชานหน้ากุฏิของตัวเองอีกแล้ว เอ๊ะ..มันอย่างไรกัน เกิดสงสัยนี่เวลากลางคืนพอมองเกิดเห็นต้นไม้ต้นอะไรคล้าย ๆ มองเห็น เห็นแต่ไม่เหมือนกลางวัน มันเป็นแบบที่ว่าสว่างสลัว ๆ แต่มันชัด เกิดมองเห็นทั่วถึงไปหมด เอ..นี่มันอย่างไรกันแน่ เกิดสงสัยขึ้นมาอย่างนี้ แต่ยังไม่รู้ตัวเองว่าตายนะนี่ เพียงแต่สงสัย อีกสักพักหนึ่ง เดี๋ยวนะเข้าไปในห้องสักหน่อยคิดว่า..พอเข้าใจในห้อง เอ..นี่มันยังไงกันนี่เกิดเห็นคนนอนอยู่ เอ..นี่ก็เราอีกมารู้สึกตัวว่าเดินงุ่มง่ำอยู่นี่ก็เรามันยังไงกันขึ้นมาอีกเล่า นี่มันเกิดสงสัยใหญ่ขึ้นมาตอนนี้เอง เอ..นี่มันอย่างไรกันนี่หือ มองไปมองมาพิจารณาคิดอยู่ เอ…นี่มันยังไง นึกไม่ออก สักประเดี๋ยวมีคนเข้ามาบอกว่าไปเถอะครับ เดี๋ยวจะพาไป อาตมาว่าจะไปไหน อาตมากำลังสงสัย เขาถามว่าสงสัยเรื่องอะไร..ก้อนี่ ๆ อาตมากำลังเดินอยู่ นั่นก็เป็นอาตมา ยืนอยู่นี่ก็เป็นอาตมาทำไมจึงเป็นสองคนขึ้นมาได้อย่างนี้ เขาบอกว่า เดี๋ยวเถอะไปกับผมก็รู้เลย อ๊ะ ..ถ้ามันรู้ก็ไปซี่ ก็ไปอาตมาว่าอย่างนี้ อาตมากลัวว่าพรุ่งนี้ครูบาอาจารย์ท่านถาม จะอธิบายไม่ถูกว่าทำไมจึงเป็นสองคน มันเป็นด้วยเหตุใด อยากจะทราบอย่างนี้ เขาบอกว่าไปเถอะ ๆ เดี๋ยวรู้เลย ไปก็ไป เอ้า..ตัดสินใจไปก็ไป พอบอกว่าไปก็ไป ปรากฎว่า..ตัวของเราลอยตามหลังเขาไปทางทิศตะวันออก วุ๊บ ถามเขาว่าจะไปไหนเขาชี้ให้มองดูคล้ายกับมีดาวดวงหนึ่งลอยอยู่ เขาชี้และว่าไปนะพอเราพุ่งวูบเข้าไปคล้ายกับเข้าไปถึงดวงดาวที่เห็น และเห็นมันค่อย ๆ โตออก เข้าไปใกล้ ๆ คล้ายหรือเหมือนกับพระจันทร์พอเราเข้าใกล้ปุ๊ป รู้สึกคล้าย ๆ เป็นเหมือนกับโลกมนุษย์พอเข้าไปถึงปุ๊ปเหมือนโลกมนุษย์ แต่แปลกที่ว่าต้นไม้มันเป็นระเบียบดีและก็สูง กิ่งมันเข้าประสานกันเลย มองข้างล่างมีต้นหญ้าสูงสม่ำเสมอกัน จิตใจของเรามันเปลี่ยนแปลงทันทีเลย เปลี่ยนไม่เหมือนปัจจุบันจิตใจมันอ่อนโยนบอกไม่ถูก ถ้าใครไปเจอแล้วจะรู้เองมันเปลี่ยนแบบไหน ๆ นั้น มันเหมือนกับรสของผลไม้ที่อาตมาฉันอยู่นี่ละ อาตมาบอกว่ามีรสชาติอย่างนั้นอย่างนี้พวกเราก็คงไม่เข้าใจ หากว่าอมปุ๊ปเข้าไปจะรู้ทันทีโดยไม่ต้องบอกอันนี้ฉันใด หากในเมื่อเราเข้าไปไม่ถึง ก็คงจะไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนอย่างไรบอกกันไม่ถูก ฉะนั้นเมื่อเข้าไปถึงแล้วมันเปลี่ยนพร้อมทั้งมีเสียงอันหนึ่งนะ ถ้าจะพูดแล้วคล้ายเสียงดนตรี ขับกล่อมจิตใจของเรามันเยือกเย็นอ่อนโยนไปเป็นลำดับรู้สึกมันดังอยู่ แต่อยู่ไหนไม่ทราบเหมือนกัน เขาพาไปเรื่อยจนกระทั่งมาถึงบ้านหลังหนึ่ง เขาบอกว่านี่แหละบ้านของท่าน เอ๊ะ..บ้านของเราทำไมจึงมาอยู่ที่นี้ เขาก็อธิบายให้ฟังว่า นี่นะในครั้งที่ท่านเป็นมนุษย์อยู่ หรือว่าในครั้งสมัยที่ท่านบวชอยู่ใหม่ ๆ ท่านทำอย่างนั้น ๆ อธิบายมาเป็นลำดับเลยจนกระทั่งอันนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ๆ อธิบายเรียบร้อยหมด อาตมาบอกว่าพอใจ ๆ ทีเดียว เขาจึงได้นำเที่ยวไปในสถานที่ต่าง ๆ ปรากฎว่าเจ้าของบ้านแต่ละบ้านที่ออกมาต้อนรับเรานี่ด้วยอัธยาศัยอันดีน่าเลื่อมใสจริง ๆ กันเสีย..โอ้ยมากมาย บอกว่าเอ้อไม่มีที่ไหนจะสนุกเหมือน แต่มันแปลกอยู่อย่างเดียวที่อาตมา เราว่าเขาบอกว่าโลกทิพย์ คนนั้นเขาก็บอกว่าชาวโลกทิพย์เขาว่าอย่างนี้แต่หากว่าเข้าไปสังเกตในบ้าน มันแปลกอยู่อย่างว่าเขาบอกว่าไปอยู่สวรรค์ต้องกินอย่างโน้นต้องกินอย่างนี้ว่าอยางโน้นว่าอย่างนี้รู้สึกว่าจะเป็นไปอย่างนั้น แต่พออีบทขึ้นไปถึงแล้วน่าพิจารณาว่าอาตมาไปอยู่ที่อย่างต่ำไม่ต่ำกว่า ๑๒ ชั่วโมง อย่างสูงก็ประมาณ ๑๕ ชั่วโมง ที่อาตมาไปอยู่ที่นั้นไม่เคยมีใครเขาของมาให้อาตมาฉัน จะเป็นน้ำก็ดี หรือเป็นอาหารส่วนอื่นก็ดี เปล่า ๆ…นี่แสดงให้เห็นว่า ดูเหมือนว่ามันมันจะไม่จริงกันเพราะเข้าไปดูแล้วว่าอันนี้ครัวมันไม่มี ผ้าผ่อนแพรพรรณเครื่องใช้ไม้สอยที่เขาใช้แล้วตากไว้ดาษดื่นอย่างพวกเราก็ไม่มีเป็นห้องโล่งโถงแต่มีลวดลายอะไรต่ออะไรประดับประดา เข้าไปแล้วมันเพลิดเพลินไม่อยากออก มันน่ามีความสุขจริง ๆ อันนี้เป็นสิ่งที่แปลก และไปเรื่อย ๆ…แต่ละบ้านที่เราเข้าถึง ออกมาต้อนรับเราด้วยอัธยาศัยอันดีงามเชิญเข้าไปในบ้าน แหม๋ มันทำให้จิตใจของเราอ่อนโยนหนักลงเป็นลำดับ เมื่อเราออกจากบ้านเขาไป เขายังตามเราออกมาอีแห่กันเป็นคลื่นไปเลย จนกระทั่งไปถึงบ้านของอาตมา ผลสุดท้ายอาตมาก็บอกว่า เอาละ..ทุกสิ่งทุกอย่างที่อาตมามานี้ อาตมาได้เห็นแล้ว เชื่อแล้วแต่ก่อนอาตมาไม่เข้าใจอย่างนี้ถ้าอาตมาเข้าใจอย่างนี้ละก้อ อาตมาจะพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่อาตมาจะทำได้ และบัดนี้อาตมาอยากจะกลับ เพื่อที่จะได้สร้างโพธิสมภารและทำความดีเท่าที่อาตมาจะทำได้ให้ดีที่สุด ให้เต็มให้เปี่ยม เพราะฉะนั้นอาตมาขออนุญาตกลับได้ไหม เขาบอกว่าได้ แต่ท่านจะไปได้ชั่วคราวนะท่านนะขอให้ท่านรีบสร้างโพธิสมภารของท่านให้เต็มและบริบูรณ์ รีบพยายามขวนขวาย พยายามประกอบในสิ่งที่เป็นบุญญเขตนั้นของให้ทำ ให้พยายามที่สุด ขอให้พยายามทำความดีแข่งขันกับกาลเวลาเขาบอก เสร็จแล้วก็ส่งกลับ แหม..รู้สึกตอนมาก็วูบ นี่ก็หมือนกันกับมาถึงทางนี้ก็เหมือนกันไม่แปลกถามเขาว่าไหนเล่าที่เราจะไป เขาชี้ให้ดูเป็นเหมือนดาวดวงหนึ่งลอยเป็นแสงวับ ๆ ๆ พอเข้าไปถึงปุ๊ปก็เหมือนกันกับเดือนดวงหนึ่งพอวุ๊บลงมาก็ถึงกุฎิพอดี มีต้นตะบกใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง มันอยู่ทางด้านทิศตะวันออกจึงว่ามันเหมือน ๆ ไปทางด้านทิศตะวนออก เพราะว่าตอนที่ ๆ ไปมันพุ่งเลี้ยวไปทางข้างต้นตะบกอย่างนี้ ตอนขากลับก็พุ่งวูบมาทางนี้ ก็หันมาทางนี้เข้ามาถึงกุฎิ จึงว่าทางมาเหมือนมาทางทิศตะวันออก แต่มันจะอยู่ไหนนั้นบอกไม่ถูก **ไม่อนุญาตให้นำไปเพื่อการค้าหรือจำหน่าย แต่สามารถพิมพ์แจกเป็นธรรมทานได้ |