เห็นแล้วเอานิมิตมาเป็นผลของสมาธิ
อันนี้อย่างนั้นก็มี บางจำพวกเอาฤทธิ์เป็นใหญ่ ได้ยินเสียงเขาว่าอย่างนั้น
ตามองไปเห็นภาพแสดงบทบาทอย่างนั้น คือ อันนั้น ก็พยากรณ์ไปตามภาพที่เห็นที่ได้ยินเพื่อต้องการให้เกิดอภิญญาณสมาบัติ
บางพวกเมื่อทำลงไปแล้วรู้สึกมีพลัง เอากำลังทั้งหลายเหล่านั้นออกมาแสดงฤทธิ์ ก็ถือว่าเป็นผลสมาธิทั้งนั้น แต่พระพุทธเจ้าจัดว่าสมาธิทั้งหลายแหล่ มันเป็นมิจฉาสมาธิ มันได้เรื่องผลแต่ว่ามันไม่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นจากอาสวะกิเลส เพราะผู้ใดต้องการจะนิพพานได้ จะต้องทำลายภพของจิตได้ ถ้าจิตยังมีภพอยู่ผู้นั้นไปนิพพานไม่ได้ เพราะจิตยังต่อภพอยู่ เพราะนั้นอุบายที่พระพุทธเจ้า พระองค์ทำลายภพของจิต อุบายที่จะทำลายภพของจิตต้องรู้เสียก่อนลักษณะภพของจิตมันอยู่ตรงไหนคืออะไร ต้องอ่านให้ชัดถ้าอ่านไม่ชัดแล้วเราจะไปทำลายได้อย่างไร แล้วกำลังที่เราจะเข้าไปทำลายกัน ยุทธวิธีต่อกัน จะเอากำลังอะไรมันต้องสร้างขึ้นมา เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจะเป็นสยัมภูได้อุบายวิธีที่แยกออกมาบำเพ็ญอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งสร้างกำลังขึ้นมาแล้ว สังเกตการเคลื่อนไหวของจิตว่ามันแสดงต่อสิ่งกระทบที่เป็นอดีต เรื่องอดีตารมณ์ อย่างไร มันมีความรู้สึกอย่างไร เหตุการณ์นี้ชวนให้หัวเราะร้องไห้มันเป็นไปตามรูปนั้นหรือไม่ พระองค์พยายามสังเกตการเคลื่อนไหวของจิต แล้วก็มีอำนาจตัวหนึ่งคอย สต๊อบ หรือสั่งอยู่ บังคบอยู่ หยุด..พิจารณาก่อน แล้วก็ใช้อำนาจส่วนนี้วิจารณ์ถึงความจริงแล้วก็เอาเหตุผลมาแก้ เมื่อจิตยอมรับความเป็นจริงแต่ละเปาะแต่ละอันแล้ว ก็เป็นอันว่าหลุดพ้น แต่ละอย่างๆ ผลที่สุดแล้วสภาวทั้งหลายในโลกอันที่กระทบรบกวนไม่มีทางดึงความรู้สึกไปได้เลย จิตของพระองค์แม้จะคลุกคุ้ยอยู่กับฝูงชนในโลก เพียงแค่กริยาเท่านั้น เปรียบเหมือนกันกับน้ำมันกับน้ำธรรมดา อยู่ในขวดอันเดียวกัน คนละครึ่ง จับเขย่าทั้งวัน ปล่อยปั๊บแยกออกจากกันทันทีเลย น้ำมันก็ขึ้นอยู่ข้างบนน้ำธรรมดาก็ลงอยู่ข้างล่างฉันใด ในระหว่างผู้ที่เป็น อริยชน เข้าคลุกคุ้ยอยู่กับเราก็เช่นกัน ทำเหมือนกัน ดำเนินด้วยกัน แต่ความรู้สึกของท่านเป็นอีกอย่างหนึ่ง ยกรูปเปรียบง่ายๆ คล้ายกันกับอย่างนี้นะ สมมุติเราดำเนินทางวัดดีแล้ว เรียบร้อยนี่พูดถึงการละเล่นต่างๆ นี่ หรือการงานสังคมต่างๆ นี่ การไปของเราจะผิดกันกับสมัยก่อนที่เรายังบ้าอยู่ สมัยก่อนการไปสังคม แหม..เราเราอยากจะไปดีอกดีใจ จะไปแสดงบทบาทอะไรบ้าง อะไรต่ออะไรนี่ แหม รู้สึกแต่งตนแต่งตัวดิบดีไปก็ดีใจนั่งอยู่ก็ดีใจ เพลิดเพลิน แต่หากในเมื่อเราบำเพ็ญในทางนี่แล้ว เรื่องสังคมเราไม่อยาก เมื่อเราไม่อยากจะไป จำเป็นจะต้องไปนี่ เราสังคมไปด้วยความจำเป็นนี่ จะไม่มีรสชาติในการไปเลย แม้นั่งอยู่ก็ไม่มีรสชาติไม่มีความสุขในการอยู่ ฉันใด ทั้งปวงอันที่เราเกี่ยวกับความเป็นอยู่ในโลกนี่ เราจะทำโดยหน้าที่ เราทำโดยหน้าที่เราไม่ได้ทำด้วยความพอใจ แล้วก็ไม่ได้ทำด้วยความเต็มใจ ทำโดยหน้าที่เท่านั้น เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าเราจะทำเหมือนชาวโลกธรรมดา แต่ความรู้สึกเป็นคนละรูปกัน จึงเรียกว่าผู้ที่หลุดพ้น เมื่อคลุกคุ้ยอยู่กับพวกเราก็แต่กริยาแต่ส่วนจิตใจของท่าน ไม่เป็นอย่างพวกเราเสียแล้ว มันคนละอย่างกัน นี่เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น อันนี้ก็อยากจะให้พวกเรานี่ หาทางบำเพ็ญซะ แล้วจะได้ทดสอบทดลองตัวของตังเองทำไปเรื่อยๆ ต่อจากนั้นไปเมื่อจิตของเราก้าวไปสู่อันดับสูงสมาธิแล้ว มันจะว่าเฉยต่อเหตุการณ์นี้ได้ เราก็มีความสุข ความสุขมาก เรียกว่าบรมสุขนะอันนี้ อันนี้จัดเป็นสัมมาสมาธิ ไม่ใช่มิจฉาหรอก เดี๋ยวไหว้พระกันหนอ |