ทุกสิ่งทุกอย่างมองแล้วในโลกมันไม่เที่ยง
มันคงเที่ยงอย่างเดียวคือความตาย เกิดมาแล้วตายมันแน่เหลือเกิน
อันนี้มันแน่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างเรามองมันไม่เที่ยง วันนี้เราได้เงินมาพรุ่งนี้มันก็หายไป
เหล่านี้เป็นต้น แล้วก็แต่ก่อนเราเป็นเด็กเดี๋ยวนี้เราแก่อันนี้มันก็คือความไม่เที่ยง คือให้จิตใจของเรายอมรับ มันก็ยอมรับความไม่เที่ยงมันก็เห็นเป็นความทุกข์ เราไปยึดสิ่งที่เป็นทุกข์มาเป็นสุขแท้ที่จริงมันเป็นทุกข์ แต่เราไปยึดมาเป็นสุข อันนี้ก็มองเห็นชัดเจน จิตก็ยอมรับก็เออเนื่องจากทุกข์จริง ๆ อนัตตาอันนี้ไม่ใช่ตัวตนเราเขาที่ไหน ชาติโลกเขาประชุมกันอยู่ ถึงเวลาก็ห้ามมันไม่ได้มันสลายไป อันนี้ก็คืออนัตตาคือห้ามไม่ได้ มันสลายไปตามกำลังของมันเหล่านี้ เป็นต้น ให้จิตยอมรับ พอยอมรับอ้าวนั่งอยู่ในโลกก็เหมือนไม่ได้อยู่ในโลก มันไม่มีความสุขเสียแล้ว เพราะเราไม่มีกิเลสจะพาให้เราสุข กามคุณห้ากิเลสนำพามันถึงจะสุข รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ๕ อย่างนี้เรียกว่ากามคุณ ๕ ใช่ไหม เราเพลิดเพลินอยู่ในสิ่งนี้มันมีความสุขแบบโลกียวิสัย แค่ทีนี้ในเมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกตัดออกไปแล้วก็หมด มองสภาพความเป็นจริงไม่มีอะไรน่าหลง ไม่มีอะไรน่ารัก ไม่มีอะไรที่จะไปดิ้นรน ทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่สภาพของความไม่เที่ยงทั้งหมด มันก็เลยหมดเลย มันก็อยู่แบบยังไงชอบกล มันอยู่ยังไงชอบกลของมัน นานเข้า ๆ มันจะมีตัวบรมสุข อันตัวบรมสุขนี้ไม่มีอามิสและกาม เขาจะอยู่ในความสุขแบบสงบ คืออยู่ในความสงบ คือไม่มีอะไรจะไปจูงเรามีทุกข์แล้ว โลกธรรมแปดและเหตุการณ์จูงใจเราไปไม่ได้แล้ว ทั้งด้านสุขและทุกข์และอยู่ ความอยู่เฉย ๆ อันนี้มันมีสุข คือมันเป็นภัยเสียแล้ว ไม่อยู่ใต้อำนาจของภพจิตไม่ได้อยู่อำนาจของโลกธรรมแปด ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของกิเลสตัณหา อยู่เฉย ๆ มันก็เกิดมีความสุข แต่ทีนี้อาตมามันได้มันได้ไม่มาก มันได้นิดเดียวแค่ประคองตัวเองอยู่ได้ ไม่มีอะไรที่จะมาทับถมเราได้ มันก็มีความสุข มันก็มีความสุขแบบโดยมีธรรมะ สบาย ๆ อันนี้เล่าสู่กันฟัง ในหลวงกับอาตมานี้สนิทสนมกันมาก ที่มันมากมายถ้าจะคุยมันยาว สั้นเหรอ สั้น ๆ นี้ก็หมายความว่าอย่างนี้นะ ท่านถามถึงปฏิประทานหลวงปู่มั่น เราก็เล่าถึงปฏิประทานแต่มันก็ยาวไปหน่อย ไอ้ที่มันจงกันนะ มัน ๆ มันไม่ได้จบในเรื่องนี้นะ พอเล่าถึงหลวงปู่มั่นเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว ท่านก็ยอมรับแล้วว่า หลวงปู่มั่นนี้ อาตมาว่าอาตมาติคนเก่งที่สุด ติคนเก่งที่สุดในโลก ถ้าอาตมาได้ไปสัมผัสด้วยตาและหูแล้วนี่หรือเข้าถึงรังแล้วนี้ ติไม่ได้แล้วนี้ยอมรับ คือพระอรหันต์ที่อาตมาผ่านไปนี้ ก่อนจะถึงสำนักหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ แล้วนี้ อาตมาผ่านไปที่แรกไปเจอหลวงปู่ทักเขาบอกว่าหลวงปู่ทักเป็นพระอรหันต์ แม้เราก็ตกใจบอกออกจากวัดไม่ไกลแค่กมลไสยก็เจอ ก็เข้าไปพอเข้าไปถึงเอ๊ะ เพียงแค่เข้าไปถึงมองเห็นกิเลสเสียแล้ว กิเลสมันคืออะไรใช่ไหม เอามันง่าย ๆ นิดเดียว มีเด็กคนหนึ่งจะไปซื้อสมุด เด็กขอสตางค์หลวงปู่ หลวงปู่เลยควักออกมาจากย่อม อาตมาใช้ไม่ได้แล้ว ถ้าอย่างนี้ใช้ไม่ได้แล้ว ศีลเป็นพื้นฐานของสมาธิ สมาธิจะปลูกลงได้คือศีล สมาธิชั้นหยาบปลูกลงได้ในศีลชั้นหยาบ สมาธิชั้นกลาง ต้องมีศีลชั้นกลาง สมาธิชั้นสูงต้องปลูกลงได้ในอริกันตศีลซึ่งเป็นศีลชั้นสูงสุด ถ้าไม่มีศีลรองรับสมาธิไม่เกิดเด็ดขาด ถ้าไม่มีสมาธิก็ไม่มีปัญญา ไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถประหารกิเลสได้ เอางั้นเถอะ สรุปแล้วว่าท่านยังถือเงินถือทอง ได้ตัวนี้มันส่วนทุกข์ ๑๕ วัน รูปิยสังวรสิกขาบท ๑๐ มันจะจับไม่ได้ เพราะฉะนั้นท่านควักออกมาจากกระเป๋าเร็วที่สุด แล้วก็ดูความเป็นอยู่ของพระเณรเร็วเหมือนลิง ก็ต้องหนี พอหนีเข้าไปอีกหน่อยหนึ่่งเขาบอกว่าวัดประชานิยมมีพระอรหันต์ บอกว่าใคร หลวงปู่แดง แวะเข้าไป อ้าวไปเจอเพื่อนกัน ซึ่งเป็นนักศึกษารุ่นเดียวกัน กลับมาบวชอยู่นั้นตั้งหลายปี บวชกันเสียด้วย พอเห็นเท่านั้นเองรี่เข้ามากอดเลย กอดด้วยความดีอกดีใจพอเรียนอยู่ด้วยกัน เพราะนับถืออาตมาเหมือนครูบาอาจารย์ ถึงแม้เราเป็นแค่นักศึกษาเท่านั้น คือว่าความดีของอาตมามีอีกอันหนึ่ง มันแขวนอยู่ทำให้เขาเคารพนับถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาตมาเป็นหลานดอกเตอร์ก่อ นี้อาตมาเป็นคนที่เรียนที่มีชื่อเสียงมาก เขาก็เคารพนับถือว่าเถอะ พอไปอยู่เอาไม่ได้เรื่องเสียแล้ว มันก็มีแต่ความวุ่นวาย เห็นแล้วก็บอกเพื่อนว่าให้สึกเสียนะ ถ้าเราอยู่แค่นี้ให้สึกซะ ไม่สึกก็ต้องไปด้วยกัน ไปพิสูจน์หลวงปู่มั่น เขาบอกอรหันต์องค์หนึ่งคือ หลวงปู่ทักษ์ดูแล้วไม่ใช่อรหันต์นะเพื่อนอรหันต์ มาถึงหลวงปู่แดงอรหันต์อีกแล้วไม่ใช่อรหันต์ ถ้าเพื่อนบวชแค่นี้นะ ถ้าเป็นชาวบ้านมาบวชตามนี้ให้บวชไปเถอะ คนยากคนจนมาอาศัยผ้าเหลือง มาแฝงอยู่ในผ้าเหลืองอาศัยเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เราไปไม่ว่า คนอย่างเพื่อนได้รับการศึกษามาอยู่แค่นี้ไม่ได้ เราบอกคำเดียวว่าหนึ่งถ้าเราไม่ได้ดีนะ ถ้าหากเราไปเห็นความดีไม่ได้เราก็ต้องตาย ไม่ตายต้องได้ดี ถ้าเราไปเห็นความดีไม่จุใจเราสึกทันที สึกร้อยเปอร์เซ็นต์ คอยดูฉันจะสวนมานี้นะ สวนมานี้กลับจากบ้านเมื่อไร เมื่อนั้นไม่อยู่ ถ้าหากเราไปไม่กลับก็แสดงว่านั้นของจริง อันนี้เล่าสู่ท่านฟัง ตามเรื่องไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงที่สุด เขาก็บอกว่าหลวงพ่อสอนอีกเหมือนกัน นี้เป็นมหานิกาย เป็นพระอรหันต์ก็ไปดู ก็ไม่ได้เรื่อง แม้ท้อใจเลย ทีนี้ถ้าไปเจอหลวงปู่มั่นเมื่อไร แล้วก็เสร็จแล้วนะถ้าเป็นแบบนี้ พอเล่าถวายท่านไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงหลวงปู่มั่น แต่ยังไม่เข้าไม่ถึงหรอกไปเพียงแค่อยู่วัดหนึ่ง เขาบอกว่าอย่าพึ่งเข้าเลย ยังเข้าไม่ได้ ต้องปรับปรุงตัวเองให้ดีก่อนอย่างนี้เข้าไปไม่ดีแน่ เอ ถ้าจะดีแล้วมั่งหนอ จนกระทั่งท่านบอกว่าดีแล้วนะเข้าได้ ก็เลยเข้า พอเข้าไปแล้วทำให้เรามีความตื่นเต้น พอเดินผ่านทุ่งไปนาไปเห็นเด็กเลี้ยงควาย พอเห็นพระ พระมาแล้วมันวิ่งมาเลย มันพนมมือหัวสะหลอน ว่ะ..เกิดมาในชีวิตไม่เคยเห็นเสียแล้วแบบนี้ พึ่งเห็นนี้เป็นครั้งแรก ขนตั้งเหมือนหลอกเลย อันนี้แหละสัญลักษณ์เบื้องต้นที่ทำให้เราเห็นว่าน่าจะดีโว้ย พอเข้าไปถึงหมู่บ้าน เอหมู่บ้านนี้ท่านสอนดี ปัดกวาดทำความสะอาดไม่เหมือนบ้านนอกทั่วไปเสียแล้ว ผิดปกติสะอาดสะอ้านดีจริง ๆ อันนี้เป็นข้อสังเกตอีกข้อหนึ่ง พอไปถึงคนเฒ่าคนแก่นั่งอยู่บนบ้าน คนลงได้ก็รีบลงมาข้างล่าง คนลงไม่ได้ก็นั่งพนมมืออยู่ข้างบน ขออนุญาตนะขอโอกาสนะเจ้าคะ ขอโอกาสอยู่ข้างบน พวกหนึ่งก็ลงไปไหว้อยู่ข้างล่าง เอาหละวะคนเฒ่าคนแก่ก็ยังเอานี้วะ พอไปสักเดี๋ยวขวามือเป็นทางแยกเลย มีทุ่งนาน้อยอยู่ทุ่งหนึ่ง มองไปทางโน้นเห็นต้นมะม่วงตั้งตระหง่านอยู่ต้นใหญ่ ตรงต้นมะม่วงมีทรายขาวสะอาดท่านกวาดท่านไม่ได้กวาดแต่วัดอย่างเดียว ออกมากระทั้งถึงต้นมะม่วงสะอาดสะอ้านทรายขาวงามมันชวนแล้ว ชวนให้เกิดศรัทธา พอเข้าไปถึงเท่านั้นเองใจมันอ่อนวาบ ทิฐิมานะที่มันงอน ๆ มันก็หมด พอเดินเข้าไปแป๊บหนึ่ง เขาบอกหลวงพ่อมั่นมาแล้ว พอเหลือบไปเห็นลีลาพญาการเดินของผู้หมดจดจากกิเลสมันผิดจากพวกเราเหลือเกิน พอเห็นทีเดียวมันซึ้งเลย พอท่านเดินมาถึงปุ๊บเท่านั้นเอง ก็ไม่มีใครไปบอกท่านว่าพวกเราไป ทำไมท่านเดินตรงมาหา ท่านบอกว่าเดี๋ยวขึ้นศาลาเดี๋ยว ศาลาของท่านนะมันไม่ใช่ปราสาทวิมานอะไรหรอก ฝากไม้ไผ่เท่านั้นที่ปู ขึ้นไปเหยียบก็กุ้มก่ำ ๆ โอ้ย ที่อยู่ของพระอรหันต์มันเป็นอย่างนี้ พอขึ้นไปถึงท่านก็นั่งสภาพเรียบร้อยดี เราก็กราบถ้อยคำที่ท่านพูดออกมาแต่ละคำล้วนแต่เป็นธรรมะปฏิสันถาร แล้วท่านก็เอ่ยถามว่าเคยตรงไหนว่างบ้าง เขาบอกว่าตรงโน้นพระออกเมื่อเช้านี้ ดีใจเป็นกองได้อยู่แน่ ท่านบอกว่าเดี๋ยวจัดการหน่อยซี เดี๋ยวผมไปกุฏิหน่อยนะตอนเย็นถึงค่อยฟังธรรมะ ก็ลุกกราบท่านก้าวกระผม สักเดี๋ยวพวกเราลงท่านก็ไป พอท่านไปเราก็ไปที่ไหนได้นึกว่าจะพาเราไปอยู่กุฏิ ไปปล่อยกับดินเลย ดินตรงนั้นมันมีต้นไม้ไผ่ที่นั้นเขาเรียกต้นไล่นะ มัน ๆ คล้าย ๆ ตั้ง ๆ ขึ้นมันหมอบลงมาลาก แล้วเขาไม่ค้ำนะ ข้างล่างไม่มีแดดเข้าถึงละ ลมเป่ามาโชยเย็น ๆ ทรายขาวสะอาดกลางกลดทันทีเลยนั่งลง แม้มันอยากจะชวนให้เดินจงกรมตั้งแต่ของยังไม่ลงจากป่า ก็มองอยู่เพื่อเขาเดินต้อมแต้มอยู่แล้วนี้ ก็ออกกลดทันทีก็ลงมือปฏิบัติ สังเกตท่านตั้งแต่วันนั้น ๕ ปีกว่า จับไม่ได้เลยความชั่วอยู่ตรงไหน ลักษณะกิเลสออกมาตัวไหนไม่มี มีแต่ความพร้อมเพรียบมีแต่ความเรียบร้อย ขึ้นชื่อว่าตาของอาตมากับหูของอาตมานี้ จับเจ๊คนไม่ได้ยอมรับ ไม่มีอะไรแสดงความชั่วออกมาดีหมด ก็ยอมรับขอถวายตัว จนกระทั่งเห็นหลายสิ่งหลายอย่างก็เลยตกลงพระองค์ ก็เลยถามธรรมะข้อหนึ่งว่า “อาจารย์ ปุถุชนธรรมดามีลักษณะความเป็นพระอรหันต์มีลักษณะคล้าย ๆ สักอย่างหนึ่งมีไหม” อาตมาก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร อาตมาก็ตอบว่ามี มีหมายความว่าเป็นยังไง มีลักษณะไหน อาตมาก็เลยบอกว่า นักโทษรอประหารชีวิตนี้ ลักษณะบางอย่างเหมือนพระอรหันต์ ท่านว่าฮึก็นักโทษรอประหารชีวิตมันทุกข์ จริงมันทุกข์ แต่ว่าเอาเพียงลักษณะเดียว ลักษณะอะไรท่านถาม นักโทษรอประหารชีวิตนี้คือ ๗ วันเขาต้องถูกประหารชีวิต แม้นว่าจะเอาอาหารอันโอชามาให้มันรับประทาน มันก็ไม่ได้ใยดีกับอาหาร มันนึกว่ามันต้องตาย คือ ตายอยู่ในสมองมันตลอดเวลา มันต้องตายจาก ถึงแม้วันนี้เขาเอาไม่ถูกปากมา มันก็ไม่คิดหรอกแม้เมื่อวานนี้ทานอาหารอร่อยดีเหลือเกิน เอ..จะไปแก้ไขที่ไหนหรือจะไปที่ไหนนะ หรือจะสั่งยังไงถึงจะอร่อย อันนี้ไม่มีมันจะต้องมีอะไรมาต้องทาน คือมันทานรอตายเท่านั้น อยู่แค่ ๗ วันก็ตาย ใครจะเอาอะไรมาให้มันก็แล้วแต่มันก็แค่นั้นหละ มันอยู่แค่รอตาย อ..ท่านยังไงกันแน่นะ อ้าวอาตมาจะเปรียบเทียบให้ฟังยกนิทานมาเล่า ตั้งแต่อโศกมหาราชไปประพาสอุทยานสถาน มีน้องชายรอจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิแทนพี่ชาย พี่ชายจะต้องสวรรคต ตัวเองจะต้องกระโดดเข้าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิโดยอัตโนมัติ เป็นเลยไม่ต้องไปผ่านความดีอะไรมากระโดดเข้ามาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์รับช่วงเลย เหมือนพระเจ้าอยู่หัวของเรารับช่วงกันมาเลยนี้เป็นต้นหละ ว่าเถอะ อันนี้จะต้องได้แน่ เพราะว่าทั้งหมดในพระราชวงศ์นี้แน่นอนพระองค์นี้ได้แน่ ๆ ตกลงกันแล้วก็ได้เตรียมเครื่องทั้งหลายพร้อมหมดอยู่แล้วนี้ พร้อมอยู่แล้วว่าอย่างนั้นก็แล้วกัน ผลที่สุดพระญาติพระองค์ผู้เฒ่า พวกผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายก็ไม่มีโอกาสชมพระรูปโฉมที่เป็นเป็นพระเจ้าจักพรรดิ์หละ ให้ลองแต่งตัวเป็นพระเจ้าจักพรรดิ์ออกมาให้ชมได้ไหม ให้ได้ทอดพระเนตรบ้าง พระเจ้าปู่ พระเจ้าตา พระเจ้ายาย เหล่านี้จะได้เห็น พระรูปพระโฉมบ้าง คิดไปคิดมาตกลงก็แต่ง พอแต่งออกมากำลังเดิน พี่ชายก็กลับมาพอดีเลย กระโจนจากรถพรวด ถอดดาบทันที่กบฏเหรอ กบฏเหรอรี่เข้าไปจะฟันเอาเลยทีเดียว เออใครก็เฮโลกันมา พวกทหารก็รุมเลย จะเล่นงานทันที ผลที่สุดจับได้จับเป็นเชลยได้ยังไม่ฆ่า ก็เลยเอามาคุยกันจะเอายังไงกันแน่ ตอนนั้นสภาราชวงศ์มีอำนาจเด็ดขาด ต้องให้สภาราชวงศ์ชี้ขาดนะ พอสภาราชวงศ์ขึ้นบัลลังก์ วิเคราะห์ ต้องประหารชีวิต ๗ วัน ขอให้น้องเรา ๑๕ วันเถอะ ๗ วันมันใกล้ เสร็จเลย พอถูกประหารชีวิตก็หน้าจ๋อยไปเลย อ้าวถ้ายังงั้นเอาเถอะเราถอนยศออกทันที ให้น้องเราเป็นพระเจ้าจักพรรดิ์สักทีแค่ ๑๕ วัน แล้วก็ถอดยศก็ประหารชีวิตได้เลย ก็ให้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ นางสนม กำนัล ยกถาดอาหารการบริโภคอันโอชายกให้หมด เพราะพระเจ้าจักพรรดิ์นี้ยกให้หมดสุดแล้วแต่น้อง เพราะรักน้องเหลือเกิน แต่จำเป็นต้องฆ่า เพราะว่ากฎหมายมันเป็นกฎหมายเอาไว้ไม่ได้ เพราะท่านเป็นคนเด็ดขาดนี้ เริ่มแรกก็ให้ประพาสรอบพระนคร เรียบพระนคร ต่อไปก็ไปเรียบพระอุทยานสถาน หลายแห่งจนกระทั่ง ถึงวันก็ให้มาถามน้อง ว่าการเป็นพระเจ้าจักพรรดิ์มีความสุขบ้างไหม จะเป็นสุขอย่างไร ถามเป็นไงก็คนมันจะตายอยู่ มันจะสุขได้อย่างไร มันก็นึกว่าตาย ๆ อยู่นั่น มันจะตายอยู่ ความตายมันขึ้นสมองจะสุขได้หรือคน อ้าวไปประพาสพระนคร เรียบพระนคร เขาเอาดอกไม้บ้าง ประชาชนมาห้อมล้อมไม่สุขบางหรือ จะสุขอย่างไรก็คนมันจะตายอยู่ ก็ไม่มีสุขจนกระทั่งสนม กำนัลมากมายก่ายกอง มีความสุขบ้างไหม ไม่เคยทำเลยเป็นไงทำไปทำไมมันจะตายอยู่ทำให้มันเกิดอะไรวะ เป็นอันว่าเป็นไม่มีความสุข ไม่มีสุข นี่หละน้องเอ๋ย อริยบุคคลอย่างน้องไปจ้วงจาบ ท่านบอกว่ามีมือมีตีนสมบูรณ์แล้วไม่ทำกินประเภทขี้เกียจ ฉันเป็นพระเจ้าจักพรรดิ์แทนผู้พี่ชายเมื่อไร ศาสนาจะถูกเหรอ ในอินเดียไม่มีอะไรเหลือ ต้องมาทำกินด้วยกันทุกคน น้องพูดอันนี้ให้คิดดี ๆ นะ อริยบุคคลท่านเห็นธรรมะแล้วเรียบร้อย มีมรณานุสติ มันขึ้นสมองแน่นอนแล้วนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ที่เป็น ไม่มีกิเลสออกมารับน้อยนั้น น้องบอกว่าถ้ารู้อย่างนี้หรือไม่อยู่บวชไปแล้ว มันไม่ได้เข้าใจซีพี่ พึ่งจะมาเข้าใจตอนนี้มันสายแล้ว เพราะวันนี้มันวันตายนี่ มันสายแล้ว อือนี้ถ้าน้องรู้อย่างนี้นะน้องบวช ความรู้สึกของน้องเวลานี้ไม่ใยอะไรทั้งหมดจะต้องขายสิ่งทั้งปวงแล้ว ตามมรณานุสติเสียแล้ว นั้นละน้องเอ๋ย ว่าเสียแล้ว ผลที่สุดตกลงไม่ฆ่า ไม่ฆ่า ต้องบวช บวชจริง ๆ ได้สำเร็จฟื้นศาสนาขึ้นมาเป็นการใหญ่ เล่าสู่พระองค์ฟัง เออผมฟังรู้เรื่อง บอกว่าฟังรู้เรื่อง เออผมชักจะเริ่มนิด ๆ นะ ผมเป็นไงไม่รู้เวลานี้ ทำอะไรผมทำตามหน้าที่ ความกระตือรือร้นไม่มี เพื่อต้องการให้ชาวโลกอยู่เย็นเป็นสุข ทำมาหากินให้มีความเจริญรุ่งเรือง ผมอยากจะให้พสกนิกรของผมให้ความเจริญสุข ผมพยายามตั้งอกตั้งใจทำ แต่ว่า แต่ว่าทำอยากให้เขาว่าเราดี ทำเพื่อยศเพื่อศักดิ์ เพื่ออะไรไม่มี แล้วมันหมด แล้วความตายของผมเวลานี้ผมคิดว่าผมจะตายอีกไม่กี่วันแล้ว ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง มันเตือนผมอยู่ตลอดเวลา ท่านว่าอย่างงั้นนะ เออก็เลยยอมรับว่าอันนี้ถูกต้องนะ ถูกต้องนั้นหละพระองค์ก็เลยยอมลงมา เลยให้ปฏิปทาข้อปฏิบัติ อาตมาเป็นผู้ปูพื้นฐานให้อย่างดี พระองค์ก็ยอมรับ ว่าจะเอาไปปฏิบัติ พระองค์ปฏิบัติอยู่แล้ว แต่ว่ายังไม่กระจ่าง อาตมาเลยให้นับข้อปฏิบัติอย่างที่คุยกับท่านพระครูเมื่อคืนนี้ กับเมื่อกี้คุยนิด ๆ เรื่องปฏิบัติโลกธรรมแปด ท่านบอกว่ากระจ่างที่สุดเลย เล่าถึงเรื่องโลกธรรมแปดเหมือนสุ่มครอบไก่เหมือน ๆ สุ่มมันครอบเราด้วยโลกธรรมแปด เลยเล่าถึงเรื่องอำนาจของเขาขนาดไหน แล้วตั้งแต่เริ่มต้นมาเลยพวกที่มีอำนาจเหนือเรา เราถึงมีชาติการเกิดเราก็ทุกข์ร่ำไป ต้องเผชิญต่อไป ถ้าเราสามารถรู้เท่าอันนี้ได้ สามารถเพลิดถอนได้ก็เป็นโลกุตรจิต โอกาสจะมาเกิดนั้นก็ไม่อีกต่อไป เพราะนั้นต้องเอาชนะให้ได้ ก็เลยสอนวิธีสร้างอำนาจส่วนบังคับ เล่าถึงฝรั่งไปเรียกเด็กขึ้นมาร้องเพลงบ้างอะไรบ้าง อันนั้นอำนาจของเขาสูง เขาไปใช้คนละแบบ เราก็สร้างขึ้นมาเหมือนกัน แต่มาใช้กับจิตของเราบังคับให้เขายอมรับสภาพความเป็นจริง ๓ อย่าง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ยอมรับกราบทันที เลยแม้ขอเอาไปปฏิบัติ ยอมรับ ขอยอมรับเต็มที่เลย อันนี้ยอมรับ พระองค์บอกว่าพระองค์จะมาราชการเท่าไรก็แล้วแต่ ดึกแค่ไหน ๓๐ นาทียืน เหมือนที่วัดเขาสุกิม ๓๐ นาทียืนพื้นต้องนั่งสมาธิกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พอตอนไหนว่างเรียกลูกมานั่งด้วย พระองค์ว่าอย่างงั้น เวลานี้พระองค์อยู่ได้สมาธิ เพราะนั้นมรณานุสติถึงขึ้นสมอง ตอนหลังมานี้ ผ่านไปแดนสนธยาขึ้นมา มาถึงแดนสนธยาอาตมาก็สลบไป ๑๐ กว่าชั่วโมง แต่พระองค์เล่าถึงแดนสนธยา เข้าท่าดีเหมือนกัน อันนี้เวลานี้พระองค์ตกอยู่ธรรมะมากที่สุด ยิ่งตั้งแต่ไปเห็นแดนสนธยามานึกว่าตนเองจะตายมาทุกที เพราะนั้นความใยดีต่อสิ่งทั้งปวงหมด เห็นไหมพระองค์ทำงานไม่กระตือรือร้นมาก แต่อุตส่าห์ทำตามหน้าที่อย่างบึกบึนที่สุด เอาที่สุด แต่ว่าไม่มีกิริยาความกระตือรือร้น ซึ่งจะทำให้เขาว่าเราดี ทำเพื่อความสรรเสริญเยินยอ ทำเพื่ออะไรนี้ พระองค์ทำในหน้าที่ของพระองค์จริง ๆ อันนี้เล่าสู่กันฟัง นี้พวกเราไม่ใช่เล่าสู่กันฟังเฉย ๆ นะ ก็อยากจะมอบให้ไปดำเนินกันเสียงบ้างหละดี ก็แค่นั้นหละ ก็จบกันเท่านั้นเอง **ไม่อนุญาตให้นำไปเพื่อการค้าหรือจำหน่าย แต่สามารถพิมพ์แจกเป็นธรรมทานได้ |