การคุยนี้ก็
ไม่ได้มีอะไรอื่นไกล ประจำวันก็ได้แก่ อุบายการดำเนินการดำเนินทางด้านสมาธิจิต
แต่บางคนก็ไม่เข้าใจว่า การจะทำสมาธิจิตนี้ทำอย่างไร แล้วก็เพื่อประสงค์อะไร
ก็ยังไม่ค่อยจะเขาใจกัน คือว่าการทำสมาธิจิตนี้ ถ้าจะพูดตามประสงค์แล้ว ก็คือมุ่งหวังที่จะปรับปรุงจิตของเรา
หรือมารยาทการแสดงออกของเรานี้ให้ดี เมื่อมาพูดถึงจิตนี้ พวกเราก็คงจะเข้าใจอยู่บ้าง
คือ จิตนี้เป็นตัวของเราโดยตรง ส่วนร่างกายสังขารซึ่งเราเข้าใจว่าเป็นตัวของเรานี้
มิใช่ ร่างกายสังขาร เป็นยานพาหนะของจิต หรือเป็นเพียงแค่เครื่องมือของจิตเท่านั้น
ส่วนจิตคือตัวของเราโดยตรง เป็นผู้บังคับการอยู่ภายใน แต่อันนี้เป็นตัว อมตะ
เป็นตัวไม่ตาย จะต้องไปก่อภพตามกำลังของกรรมที่กระทำไว้เท่านั้น แต่ส่วนอัตภาพร่างกายนี้เป็นธาตุโลก
ซึ่งก่อกันขึ้นมาใหม่ พอหมดกำลังแล้วกำลังของกรรมที่กระทำไว้เท่านั้น แต่ส่วนอัตภาพร่างกายนี้เป็นธาตุโลก
ซึ่งก่อกันขึ้นมาใหม่ พอหมดกำลังแล้วก็สลายตัวไป จิตใจก็ต้องก่อภพต่อไป เพราะฉะนั้น
จิตซึ่งเป็นตัว อมตะ นี้เป็นของสำคัญมาก แต่โดยส่วนมากแล้วพวกเรามันจะสำคัญน้อย
คือ มักจะสำคัญทางด้านร่างกายนี้มากกว่า กลัวอดกลัวอยากกลัวอะไรต่าง ๆ เราคิดแค่ร่างกาย
เพราะพวกเราหลง หรือ เข้าใจว่าร่างกายนี้เป็นเรา ๆ เป็นร่างกาย ถ้าพวกเราเข้าใจถูกกันเสียแล้วว่า
ร่างกายไม่ใช่เรา ๆ ไม่ใช่ร่างกาย จิตนั้น คือ ตัวของเรา ๆ นั้น คือจิตใจ
เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้ การแสวงหาอะไรต่าง ๆ นี้ เราจะแบ่งออกเป็นสองเสมอ
คือ การแสวงหาเสบียงของร่างกาย เราจะแสวงหากันเท่าที่จะกระทำได้ แต่การแสวงหาแสวงหาเสบียงของจิตใจ
ซึ่งเป็นตัวของเราโดยตรงเราก็จะหาเวลาเพื่อแสวงอีกด้วย ทีนี้ถ้าหากเราไม่เข้าใจอย่างนี้แล้ว
การแสวงหาเสบียงเราก็จะแสวงหาเฉพาะเสบียงของร่างกายโดยตรง แต่ทางด้านจิตใจนั้น
อาจจะไม่ได้แสวงกัน เพราะฉะนั้น จึงเป็นเหตุที่จะให้พวกเราท่านทั้งหลายได้พิจารณาให้เข้าใจถูกว่า
ร่างกายเป็นเพียงแค่ยานพาหนะ หรือ เครื่องมือของจิตเท่านั้น ส่วนตัวจิตใจ
ซึ่งเป็นตัวของเราโดยตรง ซึ่งเป็นตัวบังคับการหรือว่าเป็นตัวสั่ง ซึ่งเป็นตัวของเราโดยตรงเราก็จะหาเวลาเพื่อแสวงอีกด้วย
ทีนี้ถ้าหากเราไม่เข้าใจอย่างนี้แล้ว การแสวงหาเสบียงเราก็จะแสวงหาเฉพาะเสบียงของร่างกายโดยตรง
แต่ทางด้านจิตใจนั้น อาจจะไม่ได้แสวงกัน เพราะฉะนั้น จึงเป็นเหตุที่จะให้พวกเราท่านทั้งหลายได้พิจารณาให้เข้าใจถูกว่า
ร่างกายเป็นเพียงแค่ยานพาหนะ หรือ เครื่องมือของจิตเท่านั้น ส่วนตัวจิตใจ
ซึ่งเป็นตัวของเราโดยตรง ซึ่งเป็นตัวบังคัลการหรือว่าเป็นตัวสั่ง ซึ่งเป็นตัวของเราแท้
อันนี้ก็ต้องไปสูภพตามกำลังของกรรม ที่กระทำไว้ดีหรือชั่ว เพราะฉะนั้น ในอุบายการดำเนินทางด้านสมาธิจิตนี้
ก็ต้องการจะปรับปรุงจิตของเรานี้ให้ดี เพราะเหตุไร เพราะว่าเราเกิดมาที่ได้มาพบปะพระพุทธศาสนานี้
ก็น้อยหนักน้อยหนา ที่พวกเราจะได้มาพบปะโอกาสและชาติปัจจุบันนี้ดีเหลือเกิน
ที่เรามาพบปะพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าได้ให้อุบายต่าง ๆ ซึ่งเป็นอุบายที่จะแสวงหาเสียบงของจิตใจ
และร่างกายด้วย เพื่อความบริสุทธิ์ในการแสวงหา พร้อมอุบายวิธีที่จะต่อเติมบารมีธรรมให้สูงส่ง
เมื่อพวกเรามาพบปะแล้ว คล้าย ๆ กับว่าชีวิตนี้ได้กำไรมาก เพราะรู้จักวิธีที่ปรับปรุงตัวของตัวเองให้เป็นไปเพื่อความดี
เป็นไปเพื่อนิสัยปัจจัยอันดีงาม ที่จะสืบเนื่องต่อไป และต่อไปชาติเบื้องหน้าพวกเราไม่มีโอกาสที่จะพบปะได้ง่าย
เพราะฉะนั้น ปัจจุบันนี้สมควรที่พวกเราจะได้รีบเร่ง ชนะ อุบายวิธีที่จะอบรมจิตของเราให้ดีนี้
เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะว่า หากในเมื่อร่างกายนี้สลายตัวไปตามกำลังของธาตุโลกแล้ว
ส่วนจิตใจของเราจะเคลื่อนไปสู่ภพตามกำลังของกรรม และอารมณ์ที่นำพา อุบายวิธีที่ดำเนิน
พระพุทธเจ้าให้ดำเนินทางดานสมาธิจิตนั้น ก็เพื่อต้องการจะปรับปรุงจิตของเราให้ดี
เพราะเมื่อจิตของเราดีแล้ว การไปสู่ภพก็ต้องดี คือว่า อุบายวิธีที่จะอบรมนำพาจิตของเราให้ดีนี้
ท่านก็ให้อุบายในการทำสมาธิจิต เพื่อหากำลังอีกกำลังหนึ่งคืออาจะสมมุติว่า
สติ หรือ สัมปชัญญะ หรือ ปัญญา ก็ได้ ซึ่งเป็นอุบายหรือกำลังตัวนำพาจิตของเรา
เข้าไปสู่อารมณ์ที่ดี เช่นปัจจุบันนี้ พวกเราอยู่ด้วยกำลังของเหตุการณ์นำพา
แล้วแต่เหตุการณ์จะนำพาเราไปไหน เราไม่มีกำลังต้านทาน ถึงแม้จะมีก็น้อย เหตุการณ์จะชวนให้เราหัวเราะร้องไห้
เป็นทุกข์ เป็นโศก อะไรต่าง ๆ มันก็แล้วแต่เหตุการณ์ มันก็แล้วเหตุ อันนี้เรียกว่าเป็นไปโดยธรรมชาติธรรมดา
ไม่มีกำลังตัวต้านทานหรือนำพา จึงเป็นเหตุให้พวกเราท่านทั้งหลายเดือดร้อน
เพราะเหตุการณ์ของโลกมันชวนให้ทุกข์ให้เดือดร้อน และเหตุการณ์ของโลกมันชวนให้ทุกข์ให้เดือดร้อน
และเหตุการณ์ของโลกมันชวนให้หัวเราะหรือร้องไห้เป็นไปตามอำนาจของมัน หากในเมื่อพวกเราเจริญสมาธิจิต
คือ สร้างตปธรรมขึ้นมาปกครองจิตของเราสร้างกำลังของตะปะธรรมขึ้นมาคุ้มครองจิตของเราแล้ว
จะไม่เป็นไปตามเหตุการณ์ของโลก จะมีกำลังตัวนี้ เข้าปรับปรุงเสมอว่า หากในเมื่อความรู้สึกของจิตมันรู้สึกต่อสิ่งกระทบ
อย่างนี้ มันจะประกอบด้วยโทษอย่างนี้ประกอบด้วยคุณอย่างนี้ อะไรเหล่านี้เป็นต้น
หากในเมื่อกำลังตัวที่สร้างขึ้นมาคุ้มครองเข้าไปอย่างนี้แล้ว จะป้องกันไม่ให้จิตของเรารั่วไหลเป็นไปในทางที่ประกอบด้วยโทษ
จะประคองเข้าสู่จุดที่เป็นไปเพื่อคุณ เป็นไปเพื่อความสุขเป็นไปเพื่อความสะอาดสะอ้านหมดจด
ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเศร้าหมอง เพราะฉะนั้น สมควรที่เราจะสร้างกำลังตปธรรม
หรือ อริpมัคคุเทศก์ ตัวที่จะนำเราเข้าไปสู่ความเป็นอริยบุคคล ขึ้นมาให้พอกับความต้องการ
จะได้นำหรือกระตุ้นความรู้สึกของจิตเข้าสู่ระบบที่ควรเป็นไปเพื่อคุณ เป็นไปเพื่อความสุข
เป็นไปเพื่อความหมดจด เหตุการณ์ของโลก จะไม่ได้กระตุ้นหรือชนให้เราเป็นทุกข์เดือดร้อนเป็นไปตามเหตุการณ์ของดลก
เราจะได้อยู่ในระบบของธรรม มีความสุขความเจริญอันนี้เรียกว่า วิหารธรรมของจิต
นี่ในอุบายที่พระพุทธเจ้าสอนเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น การกระทำสมาธิจิตนี้
ในเบื้องแรก วิธีที่จะสร้างอริยมัคคุเทศก์ที่จะนำเราเข้าไปสู่ความเป็น อริยบุคคลนี้
ก็เช่นดุจในที่พวกเราได้ศึกษากันมาเสมอว่า ต้องนั่งทำสมาธิต้องเดินทำสมาธิ
หรือเดินจงกรม ต้องนอนทำสมาธิ หรือต้องยืนทำสมาธิ คำที่ว่าสมาธิ คือ หมายความว่าตั้งใจไว้มั่น
ในจุดใดจุดหนึ่ง เช่น เรานั่งสมาธิเราอาจจะนั่งพับเพียงก็ได้ หากในเมื่อผู้ใดนั่งในท่าขจัดสมาธิไม่ถนัด
หรือเรานั่งคู้ขาแบบนี้ไม่ถนัดไม่ดี อาจจะนั่งเก้าอี้ก็ได้ ตามแต่เราจะถนัด
หากในเมื่อเราได้ที่นั่งเหมาะสมดีแล้ว ถนัดดีแล้ว เราก็วางมือให้เหมาะสม
คือ วางมือซ้ายลงก่อน วางมือขวาทับ แล้วก็ตั้งตัวให้ตรง ปกติธรรมดา ถ้าตึงเกินไปไม่สบายหย่อนลงมานิด
ๆ หย่อนถึงขนาดไหนมันสบายแล้ว เราก็อยู่ในอันดับนั้น แล้วพยายามกำหนดลมหายใจเข้า-ออก
หายใจเข้า พุทธ หายใจออก โธ พุทโธ ๆ อย่างให้จิตของเราไปต่อ อารมณ์ซึ่งเป็นอดีตที่ผ่านมาแล้ว
ตั้งแต่เมื่อปีกลายนี้ก็ตาม หรือ ปัจจุบันนี้ก็ตาม อย่างให้มันคิดส่ายเขวไปได้
ต้องพยายามประคองเข้าสู่จุดได้ แต่อย่างพอตัวเองสะกดตัวเอง เพียงแค่กำหนดลมหายใจเข้าออก
รับรู้อยู่เฉย ๆ อย่างวิ่งไปตามลมเข้า-ออก อย่าไปตาม เพียงกำหนดรู้อยู่ที่ปลายจมูกเท่นั้น
พุทโธ ๆ ในอุบายที่เกาะนี้ก็ต้องการอยากจะทราบว่า กำลังสติ ตัวคุ้มครอง ตัวบังคับจิตนี้
ดีขึ้นใหม่ มากแล้วหรือยัง เราจะรู้ได้ตรงที่จิตของเรา จะหนีกำลังสติไปต่ออารมณ์ได้ไหม
วอกแวกไปเกาะทางอื่นได้หรือไม่หรือเมื่อเราบังคับให้อยู่ในจุดนีตลอดเวลา
เราจะพิสูจน์ได้ ว่าสตินี้สมบูรณ์หรือไม่ ก็ตรงที่เราสามารถบังจิตของเราหรือรับรู้
อยู่ในจุดที่เราต้องการนี้ตลอดเวลา หากในเมื่อเผลอไปคิดในทางอื่น เราก็หยุดซะ
ตั้งกำหนดใหม่ กำหนดที่จุดเดิมอีก และหายใจเข้า พุท-หายใจออก โธ พุทโธ ๆ
อยู่เรื่อยเมื่อสติสมบูรณ์ดีแล้ว จิตของเราจะไม่ไปต่ออารมณ์ได้ไม่มีโอกาสที่จะหนี้หน้าสตินี้ได้
สติจะบังคับให้จิตของเรารับรู้อยูที่จุดที่เราตั้งเป็นจุดที่เราเกาะอยู่ตลอดเวลา
พุทโธๆ ทีนี้ มีข้อสังเกตอันที่เราจะสังเกตต่อไปอีกว่า เมื่อเรากำหนดที่ปลายจมูก
พุทโธ ๆ มันมีอาการมึนชาที่ศรีษะหรือเปล่า เราต้องสังเกต ถ้ารู้สึกมีอาการมึนศรีษะ
อาจจะเป็นการสกดหรือเพ่งตัวเอง อาจจะทำเลือด..ออกจากศรีษะหรือว่าบังคับเลือดออกจากหัวใจก็ได้
เพราะฉะนั้น อันนี้ให้รีบหยุด เมื่อหยุดแล้วหาวิธีวาง คือว่ากำหนดอย่างไร
มันจะสบายเราก็กำหนดหาเอาเอง อย่าเป็นการเพ่งหรือสะกดตัวเอง ถ้าเราวางถูกปั๊บ
จะเบาทันทีเลย พอสบายก็ให้รักษาอันดับนั้นไว้ พุทโธ ๆ เรื่อยไป ต่อไป ขอให้ทำอย่างนี้เสมอไป
และอีกอย่างหนึ่งเมื่อเราทำก็รู้สึกคอแห้ง แล้วก็มักจะไอ อันนี้เราต้องหาวิธีแก้ไขเสีย
อย่าไปกำหนดให้คอแห้ง เพราะเป็นการเพ่งและสะกดตัวเองอาจจะทำให้เสียก็ได้
จะให้เหตุผลง่าย ๆ เช่น นักจิตวิทยาที่เขาสะกด ๆ ให้สนนอนหลับบ้าง หรืออาจจะเอาอำนาจจิตนี้
ๆไปบังคับให้โรคบางอย่างที่มีเชื่อ ให้มันตายไป เหล่านี้เป็นต้น ในการสกดของแพทย์ทั้งหลายเหล่านั้น
เขาก็ได้กำลังอะไรไปสะกด ก็เอากำลังอย่างที่พวกเราทำ หากในเมื่อเราเพ่งหรือสกดตัวเองนี้
อาจจะเป็นผลเสียเกิดขึ้นก็ได้ เช่น ทำให้ประสาทพิการ หรือทำให้ปวดศรีษะ มึน
งง จะเกิดโทษ เพราะฉนั้น เราให้รีบหยุดซะ ถ้ามีอาการผิดปกติ แล้วกำหนดใหม่
ให้ทำอย่างนี้ พุทโธ ๆ อยู่เสมอ เมื่อจิตของเราไม่มีโอกาสที่จะมีหน้าสติไปรับอารมณ์ภายนอกได้แล้ว
เราจะเห็นผลอยู่หลายอย่าง มันมีความสุขความสบาย โล่ง โปร่ง มีความเยือกเย็น
เรานั่งไม่รู้สึกเหนื่อย อารมณ์กลมกล่อมอยู่ภายใน สบาย ๆ อันนี้เป็นอานิสงส์
ทีนี้ โอกาสของจิตที่จะวอกแวกไปทางไหน ไม่มีโอกาสที่จะได้ เราบังคับไว้อยู่ตลอดเวลา
และความรู้อย่างหนึ่งมันจะเกิดขึ้นมาหลายอย่างบางคนเขาคิดมาถึงเราก็ดี เราจับวูบ
จับรูได้เลย อื้อ..คนนั้นจะมา ไอ้นี่ คนนี้เขานึกถึงเราอะไรเหล่านี้เป็นต้น
มันอาจจะจับรู้ได้ เพราะจิตนี้มันไม่มีตัวตน วาระจิตของคนอื่นที่นึกมาหาเรานี้
เขาก็ไม่มีตัวตนเช่นกันในระหว่างจิต จิตนี้เข้ามาหากันมันรู้กันเองในสัญชาติญาณจิต
แพล๊บ.. ถ้าเรามีสติมองอยู่ที่นี่เราสามารถจะเอาความรู้จากจิตนั้นได้ทันที
ว่านี่คืออะไร อันนี้เป็นอานิสงส์หรือผลของการทำสมาธิ หรืออีกอย่างหนึ่ง
เหตุการณ์ที่มันชวนให้เราเป็นทุกข์ ทำให้เราร้องไห้ ทำเราให้เศร้าโศก อะไรต่าง
ๆ จิตของเราจะเป็นไปตามอันนี้ไม่ได้ จะอาศัยอำนาจตัวคุ้มครองที่เราสร้างขึ้นมานี้
ประคองเอาไว้ สั่งหยุด ไม่ต้อง อันนี้เป็นทุกข์ อันนี้เดือนร้อน เศร้าหมองทำให้เสื่อมเสียความคิดไม่แจ่มใส
สมองไม่โปร่ง อะไรเหล่านี้เป็นต้น เราเตือนทีเดียว จิตของเรานี้ไม่มีโอกาสที่จะไปต่ออารมณ์อันนั้นมาเป็นทุกข์ได้เลย
หากในเมื่อเราสั่งให้คิด จะคิดได้เฉพาะในสิ่งที่เราคิดเท่านั้นเมื่อเราสั่งหยุดก็ต้องหยุดได้
นี่วิธีนั่งทำสมาธิ วิธีเดิน เราต้องดูสถานที พะยาวประมาณ ๒๕ ก้าว นี่เป็นอย่างยาวหรือสั้นเข้ามากว่านั้นก็ได้
เราเข้าไปถึงทางเดินจงกรมเราก็ยืนตรง ประนมมือขึ้นขึ้น ระลึกถึง พระพุทธเจ้า
พระธรรม พระสงค์ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ๆๆ สามหนก็วางมือลง การวางมือลงนี้ก็อาจจะเอามือขวาวางก่อน
เอามือซ้ายวางเกาะไปก็ได้ หรืออาจจะเอามือซ้ายวางก่อน แล้วเอามือขวาเกาะ
เวลาเดินก็ให้ลืมตามองไปประมาณในราวซัก ๕ ศอก กำลังดี ถ้ามองไกลนักมันไม่สบายก็ใกล้เข้ามา
หาวิธีวาง ให้มันสบายให้เวียนง่ายก็เดิน ก้าวขาหนึ่ง พุท ห้าขาหนึ่ง โธ อย่าเร็วเกินไปอย่างช้าเกินไป
พอไปถึงหัวทางเดินจงกรมตรงโน้นก็หยุดหน่อย เวียนขวา หันเข้ามาถึงทางเดินกรมแล้วก็เดินต่อ
พุทโธ ๆ เมื่อเหนื่อยแล้วเราก็ยืน ๆ กำหนดแล้วให้ลืมตา ทอดสายตาลงประมาณ
๔ ศอก ก็บริกรรมกำหนดลมหายใจ เข้า-ออก ที่ปลายจมูก เช่นกัน พุทโธ ๆ เมื่อเราสร้างกำลังสติพอกับความต้องการแล้ว
การแสดงออกของเรา การลุกเหินเดินนั่งอะไรต่าง ๆ เราจะได้นึกถึง เพศ-วัย-ฐานะของเรา
ว่าเรามีเพศชายหรือหญิง เราอยู่ในวัยพ่อคนแม่คนหรือปู่คน ตาคน อะไรเหล่านี้เป็นต้น
เราจะได้พยายามแสดงออกให้พอเหมาะพอดี ไม่เกินจากเพศ วัย ฐานะของเรา เพราะฉะนั้น
การลุกเหินเดิน นั่งพูดจา ใครจะเอ่ยถึงเรื่องอะไรก็แล้วแต่ มีความรู้สึกทางจิต
วูบ ขึ้นมาแล้วเราจะได้เอากำลังส่วนนี้ประคอง พลุบ.ไม่ให้เป็นไปตามความรู้สึก
แล้วพิจารณาก่อน ในเมื่อเราพูดนี่จะประกอบด้วยโทษหรือคุณ เหมาะสมกับ เพศ
วัย ฐานะ แล้วหรือยัง เมื่อเราทวนเห็นว่าเหมาะสมแล้ว เราจะปล่อยออกเฉพาะ
ๆ ที่เหมาะสมกับ เพศ วัย ฐานะ ของเราเท่านั้น และสิ่งใดเป็นไปเพื่อบาป เป็นไปเพื่อการเบียดเบียนคนอื่นนั้น
จะไม่ให้ปรากฎออกมา เราจะได้จัดแต่งอย่างนี้ให้เสมอ ความรู้สึกของจิตที่รุนแรงต่อเหตุการณ์
จะเบาลงเบาลง ผลที่สุดแล้ว ความรุนแรงของจิตจะไม่มี อยู่ในอำนาจตัวสั่งตัวบังคับอยู่ตลอดเวลา
สิ่งใดที่จะทำให้เราทุกข์ให้เราเดือดร้อน นอนไม่หลับละเมอเพ้อไม่มีเป็นอันขาด
เราจะสบายที่สุด ผู้ใดสามารถสร้างกำลัง ตัว อริยมัคคุเทศก์ขึ้นมาพอกับความต้องอุทานออกมาได้ว่า
สุขหนอ ๆ เรามีความสุข พอนึกถึงเบื้องหลังที่เราอยู่ใต้อำนาจของอารมณ์ หรือเหตุการณ์
เรามีความทุกข์มาก ในปัจจุบันนี้เรามีกำลัง อริยมัคคุเทศก์ พอแล้ว เรามีความทุกข์
เลย เพราเหตุการณ์ไม่กระตุ้นความรู้สึกของเราให้เข้าอยู่ใต้อำนาจหรือระบบของมัน
มีแต่คุณธรรมเราสร้างขึ้นมา กระตุ้นบังคับความรู้สึกของเราให้ตกอยู่ในคุณธรรม
เราได้วิหารธรรม เครื่องเป็นอยู่ของที่เราที่สร้างขึ้นมากระตุ้นบังคับความรู้สึกของเรา
ให้อยู่ในคุณธรรม เอาได้วิหารธรรม เครื่องอยู่ของจิตเป็นอันดี ย่อมมีความสุข
สบายตลอดเวลา ถึงแม้เรานั่งอยู่ก็เป็นสุข นอนอยู่ก็เป็นสุข จะไป ณ สถานที่ใด
ก็เป็นสุข ไปเห็นแต่คนไม่มีกำลัง อริยมัคคุเทศก์ ปล่อยให้อำนาจของโลก หรือเหตุการณ์ของโลก
หรืออารมณ์โลกนำพาความรู้สึกให้เป็นไปตามระบของมันบนครวญครางเป็นทุกข์ทั้งนั้น
แต่ส่วนเราแล้ว เราจะเห็นความสุขของเราอยู่ตลอดเวลา แหละอารมณ์และสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
ทับถมเราไม่ได้เป็นอันขาด องค์สมเด็จพระชินสีห์ สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ดำเนินอย่างนั้น
พระองค์จึงได้เป็น อริยบุคคล หรือเป็นอัจฉริยมนุษย์ เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเราผู้บำเพ็ญจงพยายามดำเนินอย่างนี้
แต่อย่างไปมุ่งเห็นผีเห็นเทวดา อย่างไปมุ่งเพื่อ อภิญญาณ สมาบัติ อย่างอื่น
ขอให้มุ่งเพื่อเป็นไป เพื่อต้องกรจะทำลาย อารมณ์ องจิต ซึ่งเหตุการณ์กระตุ้นให้เป็นไปตามอำนาจของมัน
เราพยายามมุ่งเอาชนะอันนี้ให้ได้แหละพยายามปรับปรุงการแสดงออกของเรา การลุกเหิน
เดินนั่ง หยิบของ วางของอะไรต่าง ๆ พยายามบังคับให้เป็นไปตามเพศ วัย ฐานะของเรา
อย่าให้เผลอ อันนี้เหมาะมาก เพราะฉะนั้นในอุบายการดำเนินทางด้านสมาธิจิต
โดยจุดประสงค์ก็คืออย่างนี้เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเราผู้ได้มาพบปะพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นโชคลาภอันประเสริฐที่มาพบปะได้ จงพยายามกระทำทางด้านสมาธิจิตนี้ ให้เป็นไปในทางสัมมาสมาธิ อย่างองค์สมเด็จพระภาคเจ้า ท่านได้ท่านถึงแล้วพวกเราจะมีความสุขความเจริญ แล้วก็มีวิหารธรรม เครื่องเป็นอยู่ของจิต โดยไม่มีสิ่งใดที่จะมากระตุ้นความรู้สึกของจิต ให้เข้าสู่ระบบของมัน นำความทุกข์มาสู่เราได้ เราจะมีความสุขตลอดชาติ เพราะฉะนั้น พวกเราผู้เป็นชินบุตร คือ ลุกชายลูกหญิงของพระพุทธเจ้า จงพยายามเจริญรอยตามยุคลบาทของพระพุทธเจ้า ผู้พระบิดา แล้วพวกเราจะมีความสุข เกษม อาตมาอธิบายเหตุผลในอุบายวิธีทำสมาธิจิตนี้ จะเป็นไปเพื่อความเป็นไปเพื่อการทำลายอารมณ์ของจิตที่มันกระตุ้นให้เราได้รับความทุกข์อยู่แล้ว ขอให้พวกเราจงพยายามดำเนินตามนโยบายอันนี้ แล้วเราจะได้มีความสุขความเจริญงอกงามในบวรพระพุทธศาสนา อาตมาภาพบรรยายอธิบายเหตุผลมา ก็ยืดยาวพอสมควรแล้ว ขอยุติลงเพียงแต่นี้ เอวัง ฯ |