พระวิสุทธิญาณเถร (2) ภาระหน้าที่ในการรับผิดชอบ

(2) ภาระหน้าที่ในการรับผิดชอบ

ภายหลังจากคณหลวงเสนา ผู้เปรียบเสมือนหนึ่งร่มโพธิ์ร่มไทร หรือดวงประทีปที่เคยให้แสง สว่างและความร่มเย็น ได้ถึงแก่ กรรมลงอย่างกะทันหันด้วยอหิวาตกโรคระบาด ความรุ่งโรจน์ และแสงสว่างได้ดับวูบลงอย่างหน้าใจหาย อนาคตมีดมน มอง ไม่เห็นทิศทางว่าจะดำเนินวิถีชีวิตอย่างไรต่อไป


คุณแม่บังเกิดเกล้าจากไปตั้งแต่ท่านยังไม่ทราบว่า หน้าตาเป็นอย่างไรแล้วยังไม่พอ คุณตาผู้เปรียบเสมือนหนึ่งแม่ บังเกิดเกล้าแทนคุณแม่ที่จากไป ก็มาจากไปอีกเป็นคนที่สอง คุณพ่อก็ยังมาปล่อยทิ้ง๒1สนใจเลี้ยงดูท่านเลยความว้าเหว่วังเวงความสังเวชเศร้าโศก และความสลดอย่างสุดซึ้ง ได้เกิดขึ้น อย่างเหลีอวิสัยที่จะพรรณนาให้ถูกต้องตามความรู้สึกได้ใน

ขณะนั้น เมี่อเหตุการณ์หรือมรสุมร้ายผ่านไปแล้ว ท่านก็ได้ไป อาศัยอยู่กับญาติผู้หนึ่ง มีศักดิ์ เป็นพี่ชาย ใน ฐานะเป็นลูกผู้พี่ ก็ ได้อยู่ร่วมกันมาด้วยดีมีความสุขและราบรื่นมาระยะหนึ่ง มรสุม ลูกใหม่ก็เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สาม คือพี่สะใภ้ได้มาเสียชีวิต จากไปอย่างไม่มีวันกลับอีกปล่อยให้ลูกเล็ก ๆ ๔-๕ คนเป็น กำพร้า

หลวงปู่จึงต้องรับผิดชอบเป็นภาระเลี้ยงดูทำหน้าที่ เสมือนแม่บ้านและผู้ปกครองอย่างเต็มความสามารถ เพราะหลังจากพี่สะใภ้จากไปแล้ว พี่ชายก็ประพฤติตัวเกเร มั่วสุมเรื่องอบายมุขทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ หาได้สนใจต่อหน้าที่ของตนไม่ ความเป็นไปภายในครอบครัวทั้งหมดจึงตกเป็นภาระหน้าที่ของท่านจะต้องรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง ท่านจึงพยายาม ทุกวิถีทางเพื่อสร้างฐานะทางครอบครัวให้ขึ้นมาเทียมบ่าเทียมไหล่กับคนอื่น

ท่านได้ยึดอาชีพเป็นพ่อค้า ค้าธ่งของทั่วไป ระหว่างหมู่บ้านกับตลาด วันไหนค้าขายมีกำไรมากหน่อยก็ซื้ออาหารการบริโภคมาฝากคนเฒ่าคนแก่และฝากเด็กๆในหมู่บ้าน ให้ได้รับประทานกัน นิสัยของท่านนั้นเป็นผู้เอื้อเฟื้อมาตั้งแต่ สมัยเป็นเด็กๆ แล้ว จึงติดตัวท่านมาจนถึงปัจจุบันนี้

ในสมัยที่ท่านกำลังดิ้นรนหาเงินสร้างูฐานะอยู่นั้น ท่านมี อายุเพียง ๑๔ ปีเศษและต้องหอบหิ้วเลี้ยงดูหลานอีก ๔-๕ คน บ้านที่จะอยู่อาศัยก็ไม่มี ต้องไปขออาศัยอยู่ใต้ถุนบ้านญาติ คนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รับความเอื้อเฟื้อจากผู้เป็นเจ้าของบ้านเท่าไร นัก จึงเป็นเหตุให้ท่านต้องดิ้นรนมุ่งมานะพยายามหาเงินเพื่อ ซื้อบ้านอยู่เป็นของตัวเอง ท่านได้พยายามหาเงินเก็บเงินทีละ เล็กทีละน้อย และพี่ชายก็มักจะแอบมาลักขโมยไปเป็นประจำ ทั้งเสียใจทั้งน้อยใจในตัวของพี่ชายเป็นยิ่งนัก ทั้งๆ ที่ลูกของตัวเองก็ ไม่เลี้ยงแล้วยังจะมาขโมยเงินที่ท่านหามาได้ไปใช้เสียอีก

ท่านได้ดิ้นรนหาเงินสร้าง ฐานะของท่านอยู่ถึง ๒ ปีกว่า ด้วยการเป็นพ่อค้าบ้าง บางครั้งวัดใกล้บ้านมีงานมีการชกมวย ก็สมัครขึ้นชกมวยอีกด้วย หนทางใดที่จะหาเงินได้โดยสุจริต แล้ว ท่านยอมทุ่มเทกำลังกายกำลังใจทุกอย่างเพี่อแลกกับเงินที่จะนำมาเลี้ยงดูครอบครัว บางครั้งยังเคยไปรับจ้างเถ้าแก่คนจีน ในตลาดร้อยเอ็ดหมุนเครื่องรถยนต์โดยสารร้อยเอ็ด-ขอนแก่น

พออายุได้ประมาณ๑๗-๑๘ปีความพยายามของท่าน ก็ได้สำเร็จขึ้นมาเป็นที่น่าพอใจ ได้จัดซื้อบ้าน ๑ หลัง ราคา ๗๕ บาท เกวียน ๑ เล่ม วัวราชามัย ๑ คู่ ราคา ๗๕ บาท และธ่ง อำนวยความสะดวกด้านอื่นๆ อีกหลายต่อหลายอย่าง จึงนับว่า ท่านมีนิสัยเป็นหัวหน้าและเป็นผู้นำที่ดี คือรู้จักรับผิดชอบตัวเองและส่วนรวมมาตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่นวัยหนุ่ม ท่านจึงเป็นที่ ยอมรับเป็นที่ยกย่องสรรเสริญ และเป็นที่เคารพนับถือของผู้ที่ใกล้ชิด ตลอดทั้งบุคคลทั่วไปในหมู่บ้านนั้นอีกด้วย

ท่านได้ใช้ ชีวิตอยู่ในทางฆราวาสวิสัยจนถึงอายุ ๑๙ ปี ด้วยความเบื่อ หน่ายต่อความเป็นอยู่ของโลกที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย และเต็มไปด้วยความเป็นทุกข์ ไม่เที่ยงน่าเบี่อหน่าย ท่านจึงคิด ที่จะสละเพศฆราวาสวิสัยออกบวชในบวรพุทธศาสนา เพื่อ แสวงหาความพ้นทุกข์

เนื่องจากท่านมีอุปนิสัยในทางธรรมตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ท่านมักจะฝันอยู่เป็นประจำทุกๆ คีน เป็นระยะเวลา ๔ ปีกว่า ว่าในอดีตชาติได้เคยบวชเป็นนักพรตบำเพ็ญพรหมจรรย์ โดย ปราศจากคู่ครองมาแล้ว ๓ ชาติ ชาติแรกได้ฝันไปว่าได้เกิดเป็น ลูกของชาวประมง เป็นบุตรชายคนเดียวของพ่อแม่ ซึ่งอาศัย อยู่ในเกาะกลางทะเลแห่งหนึ่ง ซึ่งมีอาชีพในทางจับปลา และ มีคุณลุงซึ่งบวชเป็นหัวหน้าฤๅษีมาบิณฑบาตที่บ้านประจำ อุปนิสัยสมัยเด็กไม่ชอบทำปาณาติบาต ลุงซึ่งบวชเป็นฤๅษีชัก ชวนให้ไปอยู่ด้วยกัน เลยติดตามลุงไปบวชแล้วบำเพ็ญพรต พรหมจรรย์จนได้เป็นอาจารย์ฤๅษี

ชาติต่อมามีญาติเป็น หัวหน้าฤๅษีอยู่ในเขาแห่งหนึ่ง และได้มาบวชกับญาติบำเพ็ญ พรตอยู่ในเขาลูกหนึ่ง จวบจนสิ้นอายุขัยในเขาลูกนั้น ชาติที่ ๓ ได้บวชเป็นฤๅษีในป่าใหญ่ เนี่องจากมีอุปนิสัยมาแล้ว ๒ ชาติ บำเพ็ญพรตบูชายัณต์ จนได้เป็นหัวหน้าฤๅษี ประพฤติ พรหมจรรย์อยู่ในป่าใหญ่จนสิ้นอายุขัย